ปลา 3 ชนิด "ปลาที่ดีที่สุดในโลก" ถูกยกให้เป็น "ทองคำอ่อนใต้น้ำ" ที่ไทยมีทุกอย่าง!
ปลา 3 ชนิดที่ดีที่สุดในโลก ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทองคำอ่อนใต้น้ำ” อุดมโอเมก้า-3 เสริมสมองและอายุยืน
เมื่อพูดถึงการรับประทานปลาเพื่อบำรุงร่างกาย คนส่วนใหญ่อาจจะนึกถึงปลาที่หาได้ง่ายในท้องตลาดทั่วไป แต่ตามที่ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการระบุไว้ ปลาที่เรารับประทานเป็นประจำนั้นแม้จะมีโปรตีนสูง แต่ก็ยังไม่ใช่ "ราชาแห่งสารอาหาร"
ในความเป็นจริง มีปลาอยู่ 3 ชนิดที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “ทองคำอ่อนใต้น้ำ” เพราะมีปริมาณโอเมก้า 3 วิตามิน และแร่ธาตุสูงกว่าปลาทั่วไปหลายเท่าตัว สารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง เพิ่มภูมิต้านทาน และช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวขึ้น
ปลา 3 ชนิดที่เปี่ยมด้วยสารอาหารบำรุงร่างกาย

1. ปลาแซลมอน – ฉายา "สมองทองคำ" แห่งโลกอาหารทะเล
ปลาแซลมอนได้รับการยอมรับมายาวนานว่าเป็นสุดยอดอาหารทะเลที่บำรุงสมอง เนื่องจากมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า 3 ทั้ง DHA และ EPA สูงมาก กรดไขมันไม่อิ่มตัวทั้งสองชนิดนี้มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของความจำ การปกป้องเซลล์ประสาท และการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
นอกจากโอเมก้า 3 แล้ว ปลาแซลมอนยังมีสารแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง สารนี้มีคุณสมบัติในการชะลอความเสื่อมของเซลล์ ช่วยให้ผิวพรรณแข็งแรง และทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นมีพลังงานอยู่เสมอ
- ใครควรรับประทาน: เด็กและนักเรียนที่อยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต ผู้ที่ใช้ความคิดและทำงานออฟฟิศ รวมถึงผู้สูงอายุที่ต้องการป้องกันภาวะสมองเสื่อม
- วิธีรับประทานที่ดีที่สุด: ควรนำไปนาบกับกระทะเบา ๆ หรือนึ่ง เพื่อคงความสดใหม่และความมันตามธรรมชาติ หากรับประทานดิบ ควรตรวจสอบแหล่งที่มาให้ปลอดภัย
2. ปลาไหล – สุดยอดอาหาร "บำรุงร่างกายและพลังงาน"
ในตำราแพทย์แผนโบราณ ปลาไหลถูกจัดให้เป็นอาหารชั้นเลิศในการ "บำรุงความอ่อนแอและเพิ่มพลังงาน" ปลาชนิดนี้มีวิตามิน A และ E สูงกว่าปลาทั่วไปหลายเท่าตัว ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการบำรุงสายตา ผิวพรรณ และการเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรค
นอกจากนี้ คอลลาเจนและไขมันดีในเนื้อปลาไหลยังช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าได้เร็ว ผู้ที่ทำงานหนักอยู่เสมอ หรือผู้หญิงหลังคลอดที่ต้องการบำรุงร่างกายก็เหมาะอย่างยิ่งที่จะรับประทานปลาไหล
- ใครควรรับประทาน: ผู้ที่นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ทำงานกะกลางคืน หรือผู้ที่เพิ่งฟื้นไข้ รวมถึงผู้ที่มีผิวแห้ง สายตาอ่อนล้าจากการใช้คอมพิวเตอร์
- วิธีรับประทานที่อร่อย: การย่างหรือปรุงแบบญี่ปุ่น (Unagi) เป็นทางเลือกที่ดี เพียงแค่นำเนื้อปลาไหลปรุงซอสไปอุ่นร้อน รับประทานกับข้าวสวยร้อน ๆ ก็จะได้เมนูเพิ่มพลังงานชั้นเยี่ยม
3. ปลาไหลนา – ได้รับฉายา "โสมแห่งท้องน้ำ"
ปลาไหลนาเปรียบได้กับ "โสมใต้ท้องน้ำ" เนื่องจากมีคุณสมบัติในการบำรุงเลือด เพิ่มพลังชี่ และควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เนื้อปลาไหลนามีธาตุเหล็กและวิตามินกลุ่ม B, A สูงมาก จึงดีต่อผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอ
สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือในเนื้อปลาไหลนามีสาร eel protein ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ช่วยในการรักษาเสถียรภาพของระดับน้ำตาลในเลือด พร้อมทั้งช่วยให้การเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
- ใครควรรับประทาน: ผู้ที่มีภาวะโลหิตจาง อาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง หรือผู้ที่ต้องการอาหารบำรุงให้ร่างกาย "อบอุ่นและสบาย"
- วิธีรับประทานที่นิยม: การนำไปผัดกับขมิ้น ทำเป็นข้าวต้ม หรือทำข้าวอบหม้อดิน นับเป็นอาหารพื้นบ้านที่อุดมด้วยโภชนาการ และช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าได้ดี
ข้อควรระวังเพื่อรับสารอาหารจากปลาอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์สูงสุดจาก ปลา "ทองคำอ่อนใต้น้ำ" เหล่านี้ ควรระลึกถึงข้อควรปฏิบัติต่อไปนี้เสมอ แม้ว่าปลาเหล่านี้จะมีคุณค่าทางอาหารสูงมาก แต่ก็ไม่ควรรับประทานในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น
- รับประทานแต่พอดี: ควรรับประทานปลา 2–3 มื้อต่อสัปดาห์ ในปริมาณครั้งละประมาณ 100–150 กรัมก็เพียงพอแล้ว
- เลือกวิธีการปรุง: ควรเลือกการนึ่ง อบ หรือย่างแทนการทอดในน้ำมันท่วม เพราะจะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการไว้ได้ดีกว่า อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงการเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่จำเป็น
- เลือกแหล่งที่สะอาด: โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปลาแซลมอนหรือปลาไหลที่นำเข้า ควรเลือกซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ตหรือแหล่งจำหน่ายที่ได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
