เนื้อหาในหมวด ข่าว

\

"ครูใช้พลั่วตีหนู" พ่อแม่บุกเอาเรื่อง รร.อนุบาล แต่วงจรปิดเผย "ความจริง" ไม่ตรงคำฟ้องลูก!

"ครูใช้พลั่วตีหนู!" พ่อแม่บุกโรงเรียนอนุบาลเอาเรื่อง แต่ความจริงกลับเป็นเรื่องเศร้าเพราะ "จินตนาการเด็ก"

เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในประเทศจีนได้กลายเป็นประเด็นร้อนในโลกออนไลน์ เมื่อเด็กชายวัยอนุบาลคนหนึ่งกลับมาบ้านพร้อมร้องไห้ฟ้องว่า "คุณครูใช้พลั่วตีหัวหนู" ด้วยความโกรธแค้น ครอบครัวจึงรวมตัวกันบุกไปที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมทันที แต่เมื่อความจริงปรากฏ ทุกคนกลับตกใจเมื่อพบว่า ต้นเหตุทั้งหมดมาจากจินตนาการที่ใสซื่อของเด็กเท่านั้น

เรื่องราวเกิดขึ้นที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในมณฑลเจียงซู เด็กชายชื่อเสี่ยวคัง วัย 4 ขวบ กลับมาถึงบ้านด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและตาแดงก่ำ ทันทีที่เห็นแม่ เขาก็ร้องไห้โฮและบอกว่า "ครูใช้พลั่วตีหนู จนหนูเกือบสลบเลย" ผู้เป็นแม่ตกตะลึงและโกรธจัดที่ครูทำร้ายลูกได้ถึงขนาดนี้

ความตึงเครียดที่ลุกลาม จนตำรวจต้องเข้าไกล่เกลี่ย

ค่ำวันนั้น ทั้งครอบครัวประกอบด้วยพ่อแม่ ปู่ย่าและตายาย จึงเดินทางไปที่โรงเรียนอนุบาลทันทีเพื่อ "ทวงความยุติธรรม" และเรียกร้องให้ทางโรงเรียนชี้แจง การโต้เถียงดำเนินไปอย่างตึงเครียดจนครูต้องเชิญผู้อำนวยการโรงเรียนและตำรวจในพื้นที่เข้ามาระงับเหตุและช่วยไกล่เกลี่ย อย่างไรก็ตาม เมื่อทางโรงเรียนเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด ทุกคนก็ตกใจอย่างยิ่ง เพราะไม่พบการทำร้ายใดๆ เกิดขึ้นเลย

ความจริงแล้ว วันนั้นห้องเรียนของเสี่ยวคังมีกิจกรรมปลูกดอกไม้นอกอาคารเรียน ขณะที่คุณครูกำลังใช้พลั่วตักดิน เด็กชายวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ จนทำให้ดินกระเด็นเข้าใส่หน้าเล็กน้อย จนสำลักและน้ำตาไหล เด็กกลับบ้านไปทั้งที่อยากเล่าถึง "อุบัติเหตุ" แต่ก็กลัวถูกตำหนิว่าซุกซน จึงเล่าเรื่องราวที่ "บิดเบือน" กลายเป็น "ครูใช้พลั่วตีหนู" ไปโดยไม่รู้ตัว

จินตนาการของเด็ก กับความจริงที่ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจ

สถานการณ์ลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กวัยอนุบาลช่วงอายุ 3-6 ขวบ ที่ยังไม่สามารถแยกแยะระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน เด็กเหล่านี้มีความจำระยะสั้น มีคำศัพท์จำกัด และความสามารถในการเล่าเรื่องยังไม่สมบูรณ์ เมื่อพวกเขาเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ เช่น ความกลัว ความเศร้า หรือความโกรธ เด็กมักจะเล่าเรื่อง "ตามแบบของตัวเอง" โดยใส่จินตนาการและเพิ่มความน่าตื่นเต้นเข้าไป

ในทางจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า "Confabulation" คือการที่เด็กเติมเต็มช่องว่างของความทรงจำด้วยเรื่องราวสมมติที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นจริง ตัวอย่างเช่น หากเพื่อนเผลอชน เด็กก็จะเล่าว่า "เพื่อนตีหนูเจ็บมาก" หรือเมื่อถูกครูตำหนิ เด็กก็จะเล่าว่า "ครูดุหนูตลอดทั้งวัน" พวกเขาไม่ได้มีเจตนาโกหก เพียงแต่ "ความจริงในสายตาของเด็ก" นั้นแตกต่างจากความจริงของผู้ใหญ่

3 ขั้นตอนที่พ่อแม่ควรทำ เมื่อลูกบอกว่า "ถูกทำร้าย"

ปฏิกิริยาแรกของพ่อแม่เมื่อได้ยินลูกพูดว่า "ถูกตี" หรือ "ถูกดุ" คือความโกรธและความกังวล แต่สำหรับครูอนุบาลแล้ว นี่คือความกังวลเชิงวิชาชีพ เพราะคำพูดที่บริสุทธิ์ของเด็กเพียงประโยคเดียว อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิด การสอบสวน หรือแม้กระทั่งการตกงานได้

เมื่อได้ยินเรื่องราว "ผิดปกติ" จากลูก แทนที่จะรีบโกรธหรือเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ลองทำ 3 ขั้นตอนต่อไปนี้:

  • สงบสติอารมณ์และสังเกตลูก: เนื่องจากเด็กมักเล่าเรื่องตามอารมณ์ หากคุณโกรธ ลูกจะยิ่งกลัวและเล่าเรื่องผิดพลาดมากขึ้น ให้ใช้โทนเสียงที่อ่อนโยน ชวนลูกเล่ารายละเอียดเพิ่มเติม เช่น "แล้วเกิดอะไรขึ้นต่อ" หรือ "ตอนนั้นมีใครอยู่ตรงนั้นบ้าง" การถามอย่างละเอียดจะช่วยให้เรื่องราวมีความชัดเจนขึ้น
  • พูดคุยกับคุณครูเป็นการส่วนตัว: อย่ารวมญาติไปโวยวายที่โรงเรียน แต่ให้พบครูด้วยท่าทีที่พร้อมให้ความร่วมมือ โดยสอบถามว่า "ลูกกลับมาเล่าแบบนี้ ไม่ทราบว่าวันนี้มีเหตุการณ์อะไรในห้องเรียนไหมคะ" โรงเรียนส่วนใหญ่มักมีกล้องวงจรปิด หรือบันทึกประจำวัน ทำให้สามารถตรวจสอบความจริงได้อย่างรวดเร็ว
  • อนลูกให้พูดความจริง ไม่ใช่การเล่าเกินจริง: เมื่อลูกสงบลงแล้ว ควรอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า "การเล่าเรื่องต้องเป็นความจริง ถ้าพูดผิดจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้" ควบคู่ไปกับการอ่านนิทานสอนใจ เช่น นิทานเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ เพื่อสร้างจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์ให้กับลูก
  • ความเชื่อมั่นที่มาพร้อมกับสติ

    เรื่องราว "ครูใช้พลั่วตีหนู" อาจทำให้ผู้ใหญ่หัวเราะได้ แต่ก็เป็นเครื่องเตือนใจอย่างลึกซึ้งว่า เด็ก ๆ ต้องการการรับฟัง แต่ผู้ใหญ่ก็ต้องเรียนรู้วิธีการฟังอย่างมีสติ ความเชื่อมั่นในลูกไม่ได้หมายถึงการเชื่ออย่างหลับหูหลับตา แต่คือการรู้จักตรวจสอบด้วยเหตุผลและปกป้องด้วยความเป็นธรรม

    ในโลกของเด็ก ความจริงกับเรื่องสมมติอาจห่างกันเพียงแค่จินตนาการเดียว แต่ในโลกของผู้ใหญ่ ความโกรธเพียงชั่วขณะอาจทำร้ายคนที่บริสุทธิ์ได้ ดังนั้น การควบคุมสัญชาตญาณของการปกป้องลูกอย่างบุ่มบ่าม อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถทำได้เพื่อดูแลลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

    ครูภาษาอังกฤษชี้ แม้บังคับเรียนตั้งแต่ ป.1 ก็อาจ \

    ครูภาษาอังกฤษชี้ แม้บังคับเรียนตั้งแต่ ป.1 ก็อาจ "ย่ำอยู่กับที่" หากไม่เปลี่ยน 1 สิ่งที่สำคัญสุด!

    อาจารย์ภาษาอังกฤษชี้: แม้บังคับเรียนตั้งแต่ ป.1 ก็พังได้ หากไม่ยอมเปลี่ยน 'สิ่งเดียว' ที่ระบบการศึกษาพลาด!