เปิดต้นกำเนิด "ยาบ้า" ยาที่เคยถูกกฎหมาย ซื้อได้ในร้านขายยา สู่ "ยานรก" โทษมหันต์
เปิดประวัติ “ยาบ้า” เส้นทางยามหัศจรรย์ สู่ยาเสพติดโทษร้ายแรง รู้หรือไม่ เมื่อก่อนมันเคยถูกกฎหมาย!
“ยาม้า” หรือ “ยาขยัน” เคยเป็นยาที่คนไทยยุคก่อนใช้เพื่อเพิ่มพลังและความทนทานในการทำงาน แต่ในปี 2539 คำเรียกนี้ถูกเปลี่ยนเป็น “ยาบ้า” เพื่อสร้างการรับรู้ในทางลบ โดย เสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของยาที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยกย่องว่าเป็น “ยามหัศจรรย์” ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของอาชญากรรมและความพินาศทางสังคม
ย้อนกลับไปในปี 1887 นักเคมีชาวโรมาเนีย ลาซาร์ เอเดลีอานู สังเคราะห์สารแอมเฟตามีนขึ้นมาเป็นครั้งแรก เพื่อใช้รักษาโรคคัดจมูกและโรคสมาธิสั้น ต่อมาในปี 1893 นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น นางาอิ นางาโยชิ ได้สังเคราะห์เมทแอมเฟตามีนจากเอฟิดรีน ก่อนที่ อากิระ โอกาตะ จะพัฒนาเป็นรูปแบบละลายน้ำได้ในปี 1919 ซึ่งกลายเป็นต้นแบบของ “ยาบ้า” ที่ใช้กันในปัจจุบัน
ยุคทองของ “ยามหัศจรรย์”
ปี 1932 บริษัท Smith, Kline & French ผลิตยาแอมเฟตามีนในชื่อการค้า “Benzedrine” ใช้รักษาอาการคัดจมูกและโรคสมาธิสั้น ยาชนิดนี้ได้รับฉายาว่า “ยามหัศจรรย์” เพราะช่วยให้คนทำงานได้นานขึ้น นักเรียนอ่านหนังสือได้อึดขึ้น และแม่บ้านยุค 1950 ใช้เพื่อลดความอ้วน จนกลายเป็นยาที่ซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์
“ยาทหาร” ในสงครามโลกครั้งที่ 2
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีนถูกใช้ในกองทัพทั่วโลก โดยเฉพาะเยอรมนีที่ผลิตยา “เพอร์วิติน” ให้ทหารนาซีใช้เพิ่มพลังและลดความเหนื่อยล้า มีการผลิตกว่า 35 ล้านเม็ดเพื่อใช้ในแนวหน้า ยานี้ช่วยให้ทหารอดหลับได้หลายวัน และกลายเป็นหนึ่งใน “อาวุธลับ” ของสงคราม
จากยาวิเศษ สู่ “ยาเสพติด” ที่ผิดกฎหมาย
เมื่อเข้าสู่ยุคหลังสงคราม การใช้ยากลุ่มนี้เริ่มระบาดในหมู่ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในอเมริกาและญี่ปุ่นที่พบผู้ใช้หลายล้านคน รัฐบาลทั่วโลกจึงเริ่มควบคุมอย่างเข้มงวด ในไทย กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้แอมเฟตามีนเป็นยาอันตรายตั้งแต่ปี 2498 และในปี 2514 ถูกจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2
“ยาม้า” กลายเป็น “ยาบ้า”
ช่วงปลายทศวรรษ 2530 ผู้ผลิตในไทยสามารถสังเคราะห์เมทแอมเฟตามีนเองได้ ทำให้ยาระบาดในวงกว้าง รัฐบาลจึงต้องเข้มงวดขึ้น และในปี 2539 มีการประกาศจัดแอมเฟตามีนและอนุพันธ์เป็นยาเสพติดประเภท 1 พร้อมเปลี่ยนชื่อจาก “ยาม้า” เป็น “ยาบ้า” เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงพิษภัยของสารกระตุ้นที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น “ยาวิเศษ”
จากพลังแห่งมนุษย์ สู่ภัยของสังคม
เส้นทางของ “ยาบ้า” คือภาพสะท้อนของมนุษย์ที่พยายามใช้วิทยาศาสตร์ยกระดับขีดจำกัดของตนเอง แต่กลับกลายเป็นดาบสองคม เมื่อยาที่เคยสร้างพลังกลายเป็นต้นเหตุของความพินาศทั้งในระดับบุคคลและสังคม และถึงวันนี้ “ยาบ้า” ยังคงเป็นปัญหายาเสพติดอันดับต้นๆ ของไทยที่ยังต้องรับมืออย่างต่อเนื่อง