เปิดพิกัด "สามเหลี่ยมทองคำดำ" แหล่งน้ำมันแห่งใหม่ สมรภูมิพลังงานใหม่ของโลก
เปิดพิกัด “สามเหลี่ยมทองคำแห่งทองคำดำ” สมรภูมิพลังงานใหม่ของโลก ยักษ์ใหญ่พลังงานแห่ลงทุนกลางมหาสมุทร
นอกชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศบราซิล บริเวณที่แม่น้ำอเมซอนไหลลงสู่มหาสมุทรแอตแลนติก กำลังกลายเป็น “สมรภูมิใหม่” ระหว่างพลังงานและสิ่งแวดล้อม เพราะใต้แนวปะการังขนาดมหึมาที่เพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่ถึง 10 ปีก่อนนั้น อาจซ่อนแหล่งน้ำมันจำนวนมหาศาล หรือที่หลายคนเรียกว่า “ทองคำดำ” เอาไว้
รายงานจาก CNN เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ระบุว่า การที่รัฐบาลบราซิลอนุมัติให้ขุดเจาะสำรวจน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าว ได้สร้างความตื่นตัวในวงการพลังงานทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดเสียงคัดค้านจากกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เนื่องจากความเสี่ยงจากการรั่วไหลของน้ำมันอาจส่งผลกระทบร้ายแรงต่อแนวปะการังและป่าชายเลนโดยรอบ
จุดศูนย์กลางของความขัดแย้งอยู่ที่ “ลุ่มน้ำฟอซ ดู อะมาโซนาส” (Foz do Amazonas) ซึ่งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ Petrobras ของบราซิลได้รับใบอนุญาตขุดเจาะ แม้จะมีคำเตือนจากนักวิทยาศาสตร์และองค์กรสิ่งแวดล้อมทั่วโลกก็ตาม ทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนก่อนการจัดประชุม COP30 ที่จะมีขึ้นในเมืองเบเลง (Belém) ประตูสู่ผืนป่าอเมซอน
“ยินดีต้อนรับสู่สมรภูมิพลังงานแห่งใหม่ของโลก”
นี่คือพาดหัวของ CNN ที่ใช้ในการอธิบาย “สงครามพลังงานและธรรมชาติ” ที่กำลังเกิดขึ้น โดยชี้ว่าเส้นทางพลังงานของทวีปอเมริกาใต้กำลังเปลี่ยนไปอย่างมหาศาล ตั้งแต่ทะเลลึกนอกชายฝั่งบราซิล ไปจนถึงแหล่งน้ำมันหินดินดานในอาร์เจนตินา และแท่นขุดเจาะนอกชายฝั่งกายอานา ทั้งสามประเทศนี้ได้สร้าง “สามเหลี่ยมพลังงาน” ที่กำลังเขย่าตลาดน้ำมันโลก
บราซิล กายอานา และอาร์เจนตินา กำลังกลายเป็นผู้นำในการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันนอกกลุ่ม OPEC ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็น “แนวหน้าพลังงาน” ใหม่ของโลกในยุคที่โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรวดเร็ว

สองขุมทรัพย์แห่งอเมซอน: ปะการังน้ำลึกและทองคำดำใต้ทะเล
บริเวณชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิลมี “สมบัติ” อยู่สองแบบที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สมบัติแรกคือแนวปะการังน้ำลึกขนาดกว่า 9,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเพิ่งถูกค้นพบเมื่อไม่ถึงสิบปีที่ผ่านมา ส่วนสมบัติที่สองคือแหล่งน้ำมันดิบจำนวนมหาศาลใต้พื้นทะเล ซึ่งการอนุมัติให้ขุดเจาะในพื้นที่นี้อาจทำให้สมบัติแรกต้องตกอยู่ในความเสี่ยงทันที
ห่างออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตรทางตอนเหนือ นอกชายฝั่งกายอานา บริษัทน้ำมันข้ามชาติหลายแห่งกำลังสกัดน้ำมันกว่า 650,000 บาร์เรลต่อวันจากแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่ค้นพบในปี 2015 ซึ่งทำให้กายอานา ประเทศที่เคยปกคลุมด้วยป่าฝนหนาแน่น กลายเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหม่ของโลก และมีรายได้จากน้ำมันต่อหัวสูงที่สุดในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ในพื้นที่แห้งแล้งทางตะวันตกของอาร์เจนตินา แหล่งน้ำมันหินดินดาน “วาคา มวยร์ตา” (Vaca Muerta) ก็กำลังเฟื่องฟูอย่างต่อเนื่อง โดยนักวิเคราะห์คาดว่าผลผลิตอาจแตะระดับ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2030
พลังงานที่เฟื่องฟูกับราคาที่ต้องจ่าย
“เป็นเรื่องน่าทึ่งที่เห็นชายแดนพลังงานของโลกขยายตัวอย่างรวดเร็วและรุนแรงเช่นนี้” นิโคล ฟิกูเรโด เด โอลิเวรา ผู้อำนวยการองค์กรสิ่งแวดล้อม Arayara กล่าวกับ CNN เธอเตือนว่าการขยายการขุดเจาะอย่างไม่หยุดยั้งอาจทำลายสมดุลทางนิเวศของภูมิภาคนี้อย่างรุนแรง
บราซิล ซึ่งเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของภูมิภาค และเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม COP30 กลับเป็นประเทศที่เพิ่มการผลิตน้ำมันสูงสุด ด้วยเทคโนโลยีขุดเจาะใต้ชั้นเกลือในทะเลลึก ทำให้การส่งออกน้ำมันของประเทศแซงหน้าเมล็ดถั่วเหลืองและกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของชาติ
เมื่อเดือนสิงหาคม 2025 บริษัท BP ของอังกฤษยังได้ประกาศการค้นพบน้ำมันครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 25 ปี ในทะเลนอกชายฝั่งรีโอเดจาเนโร ตอกย้ำบทบาทของบราซิลในฐานะผู้นำด้านพลังงานระดับโลก

เสียงเตือนจากสิ่งแวดล้อมท่ามกลางการแสวงหาทองคำดำ
องค์กรสิ่งแวดล้อมทั่วโลกออกมาเตือนว่า ทุกการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่คือการถอยหลังจากความพยายามลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความต้องการพลังงานของโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่อย่าง ExxonMobil, Chevron และ BP เดินหน้าขยายการผลิตอย่างไม่หยุดยั้ง
นักวิเคราะห์บางรายมองว่า น้ำมันจากอเมริกาใต้มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่าและปล่อยคาร์บอนน้อยกว่าหลายแหล่งในโลก จึงยังคงเป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงในตลาดโลกที่ “ยังหิวกระหายพลังงาน”
แต่ในขณะที่การผลิตน้ำมันเฟื่องฟู ผลกระทบจากวิกฤตภูมิอากาศก็รุนแรงขึ้นทุกปี ชาวอเมริกาใต้ต้องเผชิญไฟป่า น้ำท่วม พายุ และภัยแล้งที่ถี่ขึ้นและทำลายล้างมากกว่าเดิม คำถามใหญ่จึงยังคงอยู่ การขยายพลังงานฟอสซิลครั้งใหม่นี้ จะนำพาความรุ่งเรือง หรือเป็นก้าวถอยหลังของโลกกันแน่?