DPU และ สถาบันขงจื่อฯ ร่วมเปิด “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน–หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล”

DPU และ สถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ร่วมเปิด “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน–หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” รวมหนังสือวัฒนธรรมจีน–ไทยส่งตรงจากจีนกว่า 1,000 เล่ม

วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ (DPU) และ สถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเล ได้จัดพิธีเปิดป้าย “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน” และ “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” อย่างเป็นทางการ ณ ห้องวัฒนธรรมจีน สถาบันขงจื่อฯ อาคาร 3 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยมีเป้าหมายเพื่อรับมอบหนังสืออย่างเป็นทางการจากจีน เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษา วัฒนธรรม และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างประเทศผ่าน “หนังสือ” ในฐานะสะพานเชื่อมความเข้าใจของประชาชนทั้งสองประเทศ

พิธีดังกล่าวมีผู้แทนจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าร่วมผ่านระบบออนไลน์ ได้แก่ คุณหลิว เผยอี้ กรรมการผู้จัดการบริษัท เทียนจิน พับลิชชิ่ง เทรด จำกัด และคณะ รวมถึงคุณโหว ต้าเชียน รองผู้จัดการทั่วไปสำนักพิมพ์ชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศจีน และบริษัท ปักกิ่งเฉียวซิน วัฒนธรรมและการสื่อสาร จำกัด ร่วมแสดงความยินดีผ่านช่องทางออนไลน์ โดยทางฝ่ายจีนได้ยืนยันความมุ่งมั่นในการสนับสนุนความร่วมมือด้านหนังสือและวัฒนธรรมกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง

ฝ่ายไทยมีผู้บริหารและคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เข้าร่วมอย่างพร้อมเพรียง ประกอบด้วย ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์ รองอธิการบดีสายงานกิจการนักศึกษา อาจารย์โหยว เซียง คณบดีวิทยาลัยนานาชาติจีน ดร.วริศ ลิ้มลาวัลย์ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ รศ.เฉิน เวย ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเลฝ่ายจีน อาจารย์เอกรัตน์ จันทร์รัฐิติกาล ผู้อำนวยการสถาบันฯ ฝ่ายไทย รวมทั้งคณาจารย์และนักศึกษาจากหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ เข้าร่วมในบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง โดยนางสาว พัชราพร ดีพลกรัง นักศึกษาจากหลักสูตรภาษาจีนธุรกิจ ชั้นปีที่2  คณะศิลปศาสตร์ ได้กล่าวแสดงทักษะภาษาจีนในบทพูดเรื่องการศึกษากับการพัฒนาชาติในงานอีกด้วย

ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ ดวงรัตน์ รองอธิการบดีสายงานกิจการนักศึกษา กล่าวในพิธีว่า งานเปิดตัว “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน” และ “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” ครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางภาพรวมที่คนไทยมีแนวโน้มการอ่านเพิ่มสูงขึ้น ข้อมูลจากสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) และสื่อชั้นนำระบุว่า คนไทยใช้เวลาอ่านเฉลี่ยราว 113 นาทีต่อวัน และการอ่านไม่ได้จำกัดอยู่เพียงรูปแบบหนังสือเล่ม แต่ครอบคลุมไปถึงแพลตฟอร์มออนไลน์ ข่าว นิยาย และการ์ตูน “สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าตลาดหนังสือไทยมีพลวัตสูง และเปิดรับเนื้อหาจากหลากหลายวัฒนธรรม โดยเฉพาะหนังสือภาษาจีนที่เป็นที่ต้องการหาในหมู่ผู้ที่สนใจเรียนสายภาษาเป็นอย่างมาก”

รองอธิการบดี DPU ยังชี้ให้เห็นว่า หนังสือจีนกำลังทำหน้าที่เป็น “สะพานทางวัฒนธรรม” ที่สำคัญในสังคมไทย ทั้งในรูปแบบนวนิยายจีนหลากหลายแนว หนังสือการศึกษา ภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนหนังสือเด็ก ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “หนังสือจีนจำนวนมากทำให้คนไทยได้รู้จักจีนอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่วรรณกรรมคลาสสิกอย่าง ‘สามก๊ก’ ที่กลายเป็นบทเรียนในห้องเรียนไทย ไปจนถึงหนังสือร่วมสมัย เช่น ‘Xi Jinping: The Governance of China’ ที่ช่วยให้เข้าใจทิศทางการพัฒนาประเทศจีนยุคใหม่ เราเห็นชัดว่าหนังสือสามารถเปลี่ยน ‘ความห่างไกล’ ให้กลายเป็น ‘ความเข้าใจ’ ได้อย่างเป็นรูปธรรม” ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ กล่าว

ผศ.ดร.ทัณฑกานต์ กล่าวต่อว่า ความร่วมมือครั้งนี้จะทำให้ผู้อ่านชาวไทย โดยเฉพาะเยาวชนและนักศึกษา เข้าถึงหนังสือจีนที่ครอบคลุมมิติต่าง ๆ ของสังคมจีน ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ความคิด การเมือง เทคโนโลยี และวิถีชีวิตร่วมสมัย “หนังสือคือพลังสำคัญในการส่งเสริมมิตรภาพระหว่างประชาชนจีนและไทย และเป็นฐานให้ความร่วมมือด้านวัฒนธรรม การศึกษา และเศรษฐกิจในอนาคตเติบโตอย่างมั่นคง”

ด้านคุณโหว ต้าเชียน รองผู้จัดการทั่วไปสำนักพิมพ์ชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศจีน และบริษัท ปักกิ่งเฉียวซิน วัฒนธรรมและการสื่อสาร จำกัด กล่าวผ่านระบบออนไลน์จากนครเทียนจินว่า การก่อตั้ง “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน” และ “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” ที่มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ เป็น “เหตุการณ์ทางวัฒนธรรมที่มีความหมายลึกซึ้ง” เพราะสะท้อนการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มสำนักพิมพ์ในจีนกับสถาบันการศึกษาในไทย เพื่อสานต่อรากเหง้าอารยธรรมจีนและขยายการรับรู้ไปสู่เยาวชนรุ่นใหม่ในต่างแดน

คุณโหว อธิบายว่า “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” เป็นโครงการเผยแพร่วัฒนธรรมที่ได้รับอนุมัติจากสหพันธ์ชาวจีนโพ้นทะเลแห่งประเทศจีน และดำเนินการโดยสำนักพิมพ์ชาวจีนโพ้นทะเล ปัจจุบันมีการจัดตั้งแล้วกว่า 300 แห่งทั่วโลก ทำหน้าที่เป็นสายใยเชื่อมโยงมาตุภูมิกับชาวจีนโพ้นทะเล “ชื่อของโครงการสะท้อนแนวคิด ‘ใช้หนังสือเป็นสะพาน เชื่อมโยงหัวใจชาวจีนโพ้นทะเลให้ถึงกัน’ เราอยากให้พื้นที่นี้ไม่ใช่แค่ห้องสมุดที่เงียบสงบ แต่เป็นสะพานแห่งความรู้สึกและวัฒนธรรมที่ก้าวข้ามพรมแดนของรัฐชาติ”

คุณโหว ยังกล่าวชื่นชมประเทศไทยในฐานะภูมิภาคสำคัญที่มีชาวไทยเชื้อสายจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และยกย่องมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ว่า เป็นสถาบันการศึกษาในต่างประเทศที่ทำงานด้านภาษาจีนและวัฒนธรรมจีนอย่างจริงจังยาวนาน ผ่านการร่วมเป็นสถานที่ก่อตั้งสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเลแห่งแรกของโลก และศูนย์ความร่วมมือการศึกษาภาษาจีนแห่งแรกในประเทศไทย “เราหวังว่าชั้นหนังสือและหอสมุดแห่งนี้จะกลายเป็น ‘กัลยาณมิตรทางวิชาการ’ ของนักศึกษา และเป็น ‘หน้าต่างทางวัฒนธรรม’ ให้ทุกคนได้สัมผัสจีนร่วมสมัยอย่างรอบด้าน พร้อมเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งมิตรภาพจีน–ไทยในหัวใจของเยาวชน”

รศ.เฉิน เวย ผู้อำนวยการสถาบันขงจื่อเส้นทางสายไหมทางทะเลฝ่ายจีน กล่าวเสริมว่า การตั้ง “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน” และ “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” ที่ DPU ไม่ได้เป็นเพียง “การมอบหนังสือ” แต่คือ “การพบกันของวัฒนธรรม” ระหว่างแม่น้ำไห่เหอในเทียนจินและแม่น้ำเจ้าพระยาในกรุงเทพฯ “หนังสือคือสะพานทางจิตวิญญาณ และเป็นกุญแจสำคัญในการทำความเข้าใจอารยธรรมที่แตกต่างกัน หนังสือทุกเล่มบนชั้นนี้ ไม่ได้บรรจุเพียงตัวอักษร หากยังบรรจุความเข้าใจ การเชื่อมโยง และมิตรภาพระหว่างสองประเทศเอาไว้ด้วย”

รศ.เฉิน กล่าวถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ว่า สถาบันขงจื่อฯ จะต่อยอดทรัพยากรหนังสือเหล่านี้ไปสู่กิจกรรมรูปแบบต่าง ๆ เช่น กิจกรรมอ่านหนังสือร่วมกัน เวิร์กช็อปวัฒนธรรมจีน การเสวนาทางวิชาการ และกิจกรรมแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างเยาวชนจีน–ไทย “เราต้องการให้หนังสือ ‘มีชีวิต’ และ ‘ขยับเคลื่อนไหวได้’ ในชีวิตจริงของนักศึกษา ให้ที่นี่กลายเป็นบ้านทางจิตวิญญาณร่วมกันของเยาวชนทั้งสองประเทศ ไม่ใช่เพียงชั้นหนังสือที่ตั้งอยู่เฉย ๆ”

ทั้งนี้ หนังสือที่จัดแสดงใน “ชั้นหนังสือต่างแดนฉบับเทียนจิน” และ “หอสมุดหัวใจชาวจีนโพ้นทะเล” ครอบคลุมหลากหลายเนื้อหา ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ วรรณกรรม ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนหนังสือภาพและวรรณกรรมเยาวชน โดยมุ่งหวังให้สอดรับกับพฤติกรรมการอ่านของคนรุ่นใหม่ และสนับสนุนการเรียนภาษาจีนในระดับอุดมศึกษาอย่างใกล้ชิด

พิธีเปิดป้ายครั้งนี้จึงนับเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน โดยใช้ “หนังสือ” เป็นพลังกลางในการเชื่อมโยงความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ ผ่านการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม และการเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เติบโตไปพร้อมกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้บนฐานของมิตรภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในระยะยาว