เปิดตำนาน ฟาโรห์หญิงผู้ต้อง "สวมเครา" เพื่อครองอียิปต์ ทรงอิทธิพลจนถูกลบชื่อ 3,500 ปี!
ฮัตเชปซุต คือใคร? เปิดตำนาน "ฟาโรห์หญิง" ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในอียิปต์โบราณ
เปิดตำนาน "ฮัตเชปซุต" ฟาโรห์หญิงผู้ต้อง "สวมเครา" เพื่อครองอียิปต์ หนึ่งเดียวที่กล้าท้าทายกฎบุรุษ จนถูกสั่งลบตัวตนจากหน้าประวัติศาสตร์นาน 3,500 ปี
ในหน้าประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ การขึ้นครองราชย์เป็นผู้นำสูงสุดมักถูกมองว่าเป็นหน้าที่ของบุรุษ แต่ท่ามกลางกฎเกณฑ์เหล่านั้น มีสตรีผู้หนึ่งที่กล้าหาญก้าวข้ามจารีตประเพณี จนก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "ฮัตเชปซุต" (Hatshepsut) คือสตรีผู้กุมอำนาจปกครองอียิปต์ในช่วงศตวรรษที่ 15 ก่อนคริสตกาล นำพาความสงบสุขและความรุ่งเรืองมาสู่ดินแดนไอยคุปต์ แม้ว่าเรื่องราวของพระนางจะเคยถูกลบหายไปจากประวัติศาสตร์นานกว่า 3,500 ปีก็ตาม
จากราชินีสู่บัลลังก์ฟาโรห์
ฮัตเชปซุตเป็นพระราชธิดาของฟาโรห์ทุตโมสที่ 1 (Thutmose I) และราชินีอาโมส พระนางได้ขึ้นเป็นราชินีจากการอภิเษกสมรสกับทุตโมสที่ 2 (Thutmose II) ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา เมื่อพระสวามีสิ้นพระชนม์ในปี 1479 ก่อนคริสตกาล ฮัตเชปซุตจึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน "ทุตโมสที่ 3" (Thutmose III) โอรสบุญธรรมที่ยังทรงพระเยาว์
ทว่า แทนที่จะวางมือเมื่อทุตโมสที่ 3 เจริญวัยพอที่จะปกครองแผ่นดิน ฮัตเชปซุตกลับตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ด้วยการประกาศตนเป็นฟาโรห์และปกครองอียิปต์ด้วยพระองค์เอง ซึ่งถือเป็นการกระทำที่หาญกล้าและท้าทายบริบททางสังคมในยุคนั้นเป็นอย่างมาก
กลยุทธ์สร้างความชอบธรรม: สตรีในคราบกษัตริย์
เพื่อสร้างความมั่นคงและชอบธรรมในการครองบัลลังก์ ฮัตเชปซุตได้นำเสนอภาพลักษณ์ของตนเองในรูปแบบของฟาโรห์ชายผ่านรูปปั้นและภาพสลักต่างๆ พระนางสวมเครื่องแต่งกายตามธรรมเนียมกษัตริย์ และที่โดดเด่นที่สุดคือการสวม "เคราปลอม" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของฟาโรห์ แม้จะต้องเผชิญกับคำครหา แต่ด้วยปรีชาสามารถและความเฉลียวฉลาด พระนางสามารถประคองอำนาจและปกครองอียิปต์มายาวนานถึง 21 ปี
ยุคทองแห่งสถาปัตยกรรมและการค้าขาย
รัชสมัยของฮัตเชปซุตไม่ได้โดดเด่นเรื่องการทำสงคราม แต่เน้นการสร้างความมั่งคั่งและถาวรวัตถุ พระนางโปรดให้สร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามและยิ่งใหญ่มากมาย โดยเฉพาะ วิหารเดียร์ เอล-บาห์รี (Deir el-Bahri) วิหารหินทรายสามชั้นที่ลดหลั่นกันอย่างสวยงาม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางสถาปัตยกรรมของโลกยุคโบราณ
นอกจากนี้ ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งคือการส่งคณะสำรวจเดินทางข้ามทะเลแดงไปยังดินแดนพันท์ (Land of Punt) การเดินทางครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม สามารถนำสินค้ามีค่ากลับมามากมาย เช่น ทองคำ งาช้าง ไม้หอม และสัตว์แปลกตา ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจและทำให้อียิปต์ในยุคนั้นเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์
ความพยายามลบตัวตนและปริศนาที่ถูกค้นพบ
หลังจากฮัตเชปซุตสิ้นพระชนม์ในปี 1458 ก่อนคริสตกาล เมื่อทุตโมสที่ 3 ได้ขึ้นครองอำนาจอย่างเต็มตัว พระองค์ได้พยายามลบร่องรอยของฮัตเชปซุตออกจากหน้าประวัติศาสตร์ รูปปั้นและวิหารที่สร้างเพื่อเชิดชูเกียรติของพระนางถูกทำลาย หรือถูกสลักชื่อทับให้กลายเป็นชื่อของฟาโรห์ชายองค์อื่นแทน เพื่อกลบฝังตำนานของกษัตริย์หญิงผู้นี้
อย่างไรก็ตาม ความจริงย่อมปรากฏ ในปี ค.ศ. 1822 นักโบราณคดีสามารถถอดรหัสอักษรภาพเฮียโรกลิฟิกที่วิหารเดียร์ เอล-บาห์รี และค้นพบชื่อของพระนางอีกครั้ง ต่อมาในปี 1903 "โฮเวิร์ด คาร์เตอร์" (Howard Carter) ได้ค้นพบโลงศพของพระนางในหุบเขากษัตริย์ และต้องใช้เวลาอีกเกือาศตวรรษกว่าจะยืนยันมัมมี่ของพระนางได้สำเร็จ
บทสรุปตำนานราชินีผู้เกรียงไกร
ปัจจุบัน ฮัตเชปซุตได้รับการยกย่องว่าเป็นสตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งในโลกยุคโบราณ เรื่องราวของพระนางไม่ใช่เพียงแค่การแก่งแย่งชิงอำนาจ แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความสามารถและความเป็นผู้นำของสตรีที่สามารถนำพาอาณาจักรให้รุ่งเรือง ทลายกำแพงแห่งเพศสภาพ และกลายเป็นตำนานที่โลกไม่มีวันลืม
- เปิดชื่อ 9 กษัตริย์ "อายุยืนที่สุดในโลก" มีองค์ที่ยังครองราชปัจจุบัน แล้วมีพระราชาไทยติดไหม?
- เผย 5 สถานที่ลึกลับ อยู่บนโลกแต่ "ห้ามมนุษย์" เฉียดเข้าใกล้ และอาจไม่มีวันถูกเปิดออก!
