Bridgerton แซ่บสะท้านทรวง ซีรีส์น้ำเน่าของสาว (ไม่) อยากมีสามี!
จากวรรณกรรมสู่ซีรีส์
Bridgerton ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมในชื่อเดียวกันของ จูเลีย ควินน์ ซึ่งเธอเป็นนักเขียนระดับเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์กไทมส์ เธอจบการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ศิลปะมาจากมหาวิทยาลัยดังอย่างฮาวาร์ด นิยายของเธอได้รับการแปลมากกว่า 24 ภาษา รวมถึงภาษาไทยด้วย
อย่างไรก็ตามนิยายชุดที่สร้างชื่อเสียงให้กับควินน์จริงๆ ก็คือ Bridgerton ที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มทลาย ติดอันดับหนังสื่อขายดี ซึ่งความตั้งใจแรกของเธอคือการแต่งนิยายเรื่องนี้ให้เป็นไตรภาค แต่เมื่อบรรดาคนอ่านให้การตอบรับเป็นอย่างดี และอยากจะรู้เรื่องราวของเหล่าพี่น้องบริดเจอร์ตันมากกว่าเดิม ทำให้นิยายเรื่องนี้ได้รับการต่อยอดมาเรื่อยๆ รวมทั้งสิ้น 9 เล่มด้วยกัน ตั้งแต่ปี 2000 - 2013 โดยเล่มล่าสุดมีชื่อตอนว่า The Bridgertons: Happily Ever After ซึ่งนิยายชุดนี้ 4 ในจำนวน 8 เล่มยังทำให้เธอคว้ารางวัล RITA Award ซึ่งเป็นการมอบรางวัลให้กับนิยายโรแมนซ์ดีเด่นอีกด้วย
ยังไม่รวมไปถึงนิยายภาคแยกของเลดี้ วิทเซิ้ลดาว์น เจ้าของคอลัมน์ซุบซิบประจำเรื่องราวใน Bridgertons ที่แยกเรื่องราวออกมาเป็น "Thirty-Six Valentines" in The Further Observations of Lady Whistledown และ "The First Kiss" in Lady Whistledown Strikes Back
แม้จะทิ้งช่วงเวลาไปนานพอสมควร จนกระทั่งปี 2018 ทาง Netflix ก็ซื้อสิทธิ์ในการดัดแปลงนิยายเรื่องนี้ให้กลายเป็นทีวีซีรีส์ภายใต้การดูแลของชอน์นด้า ไรม์ส โปรดิวเซอร์ซีรีส์ดราม่าเรื่องดังอาทิ Grey's Anatomy ผลงานเรื่องดังของเธอในปี 2005 ที่ยังคงต่อซีซั่นมาจนถึงปัจจุบัน How to Get Away with Murder ที่เพิ่งลาจอไปเมื่อปี 2020 และ Bridgerton คืองานล่าสุดที่เธอเข้ามาดูแล
เวอร์ชั่นซีรีส์
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นซีรีส์เริ่มต้นขึ้นในคฤหาสน์ของตระกูลบริดเจอร์ตัน ดาฟนี่ (โฟบี้ เดนเวอร์) สาวน้อยช่างฝันผู้มีหน้าตาสะสวย เธอกำลังออกอาการประหม่า เพราะเธอกำลังจะต้องเข้าเฝ้าพระราชินีอังกฤษ ในพิธีเดบูตองต์หรืองานเต้นรำเปิดตัวสาวงามที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นอย่างเต็มตัว ซึ่งเป็นพิธีกรรมของสาวชั้นสูงในอังกฤษ โดยหญิงใดที่ได้รับคำชื่นชมจากพระราชินีก็จะได้รับการจับตามองจากบรรดาชายหนุ่มในสังคมต่อไป
เหตุผลดังกล่าวนี้เองทำให้บรรดาเหล่าแม่ของหญิงสาวเหล่านี้้ต้องแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายในการผลักดันลูกสาวของตัวเองให้สวย เจิดจรัส และแน่นอนว่าดาฟนี่ ลูกสาวคนโตของตระกูลบริดเจอร์ตันจึงถูกกดดันอย่างหนัก
อย่างไรก็ตามเมื่อดาฟนี่ได้รับคำชมจากพระราชินีว่าความงามของเธอนั้นหาหญิงใดมาเปรียบ แน่นอนสปอตไลท์จึงฉายมาที่เธอทำให้บรรดาหนุ่มๆในวงสังคมอยากจะขายขนมจีบกันจ้าละหวั่น ไม่นานนักดาฟนี่ก็ถูกครหาว่าเธอมัวหมอง จนกระทั่งดาฟนี่ได้พบกับดยุกเฮสติ้งหรือไซม่อน (เรอเช่-ฌอง เพจ) หนุ่มผิวสีแห่งตระกูลเฮสติ้งที่กลับมารับตำแหน่ง ซึ่งเขาเป็นเพื่อนสนิทของโคลิน พี่ชายของดาฟนี่ ทำให้ดาฟนี่ยื่นข้อตกลงลับๆกับไซม่อน ว่าทั้งสองกำลังคบหาดูใจกัน เพื่อดาฟนี่เองต้องการจะกู้ภาพลักษณ์ของตัวเองให้กลับมา ประกอบเธอไม่อยากจะต้องแต่งงานกับชายที่เธอไม่ได้ชอบ ในขณะที่ไซม่อนเองก็ไม่อยากจะแต่งงานกับใคร และตัดรำคาญผู้หญิงที่ตัวเองไม่ได้ชอบมามัวขายขนมจีบอยู่ร่ำไป แต่แล้วเมื่อรักกำมะลอครั้งนี้ กำลังจะผันแปรไปเป็นอย่างอื่น เมื่อดาฟนี่่และไซม่อนเริ่มมีใจให้กันจริงๆขึ้นมา นำไปสู่ความสัมพันธ์เกิดคาดคิด
ความสนุกชนิด 8 ตอนรวด
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องรักน้ำเน่า คลุ้งกลิ่นคาวๆและการซุบซิบนินทา รวมไปถึงการชิงดีชิงเด่นกันระหว่างผู้หญิงนั้น ถือเป็นเรื่องที่ขายได้ทุกยุคทุกสมัย ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากพล็อตโรแมนซ์การค้นหาหัวใจตัวเองของดาฟนี่แล้ว ฉากเลิฟซีนในซีรีส์นี้ก็ดุเด็ดเผ็ดมันส์เอาเรื่องอยู่ จนบรรดาสาวน้อยสาวใหญ่ จะต้องน้ำลายหกไปกับฉากถอดเสื้อแก้ผ้าของเรอเช่-ฌอง เพจจนเขาอาจจะเป็นสามีแห่งชาติ ณ เวลานี้ได้เลยก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นหนุ่มๆที่ดูซีรีส์นี้ก็ได้คืนกำไรเช่นกันเพราะฉากเลิฟซีนนั้น ฝั่งโฟบี้ เดนเวอร์เองก็เล่นฉากเหล่านี้ได้แบบถึงอารมณ์อยู่ไม่น้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้โป๊เปลือยนัก (ฝ่ายชายโป๊กว่าด้วยซ้ำ)
ด้วยซีรีส์เอง ก็ไม่ได้เรียกว่าเป็นการ "ย้อนยุค" ไปสู่สมัยวิคตอเรียนแบบเต็มตัว เพราะถึงฉากหลังจะเป็นยุคสมัยดังกล่าว แต่ซีรีส์ก็เลือกจะใส่เพลงประกอบร่วมสมัยเข้ามาอาทิ "thank u, next" ของ Ariana Grande, "Girls Like You" ของ Maroon 5, "In My Blood" ของ Shawn Mendes, "Wildest Dreams" ของ Taylor Swift รวมไปถึงแนวคิดของตัวละครในซีรีส์นี้ก็เรียกได้ว่าหัวสมัยใหม่เต็มขั้น ผิดกับข้อเท็จจริงตามประวัติศาสตร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการหลีกหนีจากความเป็นพีเรียดแบบเดิมๆ
จุดบันเทิงอีกประการคือการให้คนดูคาดเดากันไปต่างๆนานาว่าตกลงแล้วใครกันคือเลดี้วิทเซิ้ลดาว์น ผู้อยู่เบื้องหลังข่าวฉาวประจำแวดวงสังคมชนชั้นสูง ที่จะว่าไปแล้วการให้เสียงพากย์ของจูลี่ แอนดรูวส์นั้นก็เข้ากับเรื่องราวได้อย่างลงตัว
เอาเป็นว่าอ่านคอนเทนท์นี้จบแล้วไปเปิด Netflix เลยนะครับ