เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel ซีรีส์ที่จะทำให้คุณไม่กล้าขึ้นลิฟต์คนเดียวอีกต่อไป

Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel ซีรีส์ที่จะทำให้คุณไม่กล้าขึ้นลิฟต์คนเดียวอีกต่อไป

 

Crime Scene: The Vanishing at the Cecil Hotel เป็นสารคดีซีรีส์จาก Netflix ที่หยิบเอาคดีอาชญากรรมอันโด่งดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาขยายความสืบหาความจริง ว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

การหายตัวไปของเอลิซา แลม คือข่าว “คนหาย” ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คนทั่วโลก ประกอบกับการที่กรมตำรวจได้ทำการปล่อยคลิปวิดีโอความยาวกว่า 4 นาที ในคืนก่อนที่เธอจะหายตัวไปอย่างลึกลับของเอลิซาในโรงแรมเซซิล โดยลักษณะของเธอที่ปรากฏอยู่ในคลิปนั้นสร้างความน่าตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเธอเหมือนกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเข้ามาในลิฟต์เธอกดลิฟต์หลายชั้นแต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่นานนัก เธอก็เริ่มมีท่าทางที่ผิดปกติ เหมือนเธอกำลังคุยกับใครสักคนที่อยู่นอกลิฟต์ ทั้งที่ในวิดีโอนั้นไม่ปรากฏคนอื่นนอกจากเอลิซา อาการผิดปกติดูเหมือนจะเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่น่าสงสัยคือไม่มีการปิดเปิดของประตูลิฟต์เลย จนกระทั่งตอนท้ายคลิปเอลิซาได้หายออกไปจากตัวกล้อง และลิฟต์ก็เริ่มเคลื่อนที่

ในตอนประชาสัมพันธ์สารคดีชุดนี้ Netflix เลือกจะทำให้เหมือนเป็นเหตุการณ์ชวนขนหัวลุกที่เกี่ยวกับเรื่องราวและเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ บ้างก็ว่าโรงแรมเซซิลนั้นเป็นโรงแรมต้องคำสาป และประวัติศาสตร์อันยาวนานของสถานที่นี้ ทำให้มันมีเรื่องราวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความรุ่งเรืองของโรงแรมในอดีต ก่อนจะกลายเป็นจุดตกต่ำที่สุดในยุคสมัยหนึ่งเมื่อโรงแรมกลายเป็นห้องเช่าราคาถูกให้กับคนจน เป็นที่ซ่องสุมของเหล่าอาชญากรและพ่อค้ายาเสพย์ติด ก่อนที่จะเปลี่ยนยุคสมัย ในการปรับปรุงพื้นที่ครั้งใหญ่เพื่อให้โรงแรมแห่งนี้กลับมาเป็นที่พักราคาย่อมเยาของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวยังลอสแองเจลิส

สารคดีซีรีส์ชุดนี้ยังเลือกจะจำลองภาพเหตุการณ์ต่างๆคร่าวๆ ด้วยการสร้างตัวละครเอลิซา แลมในช่วงเวลาก่อนที่เธอจะเสียชีวิตด้วยการ ใช้นักแสดงแทนอย่างอาร์ทีมิส สโนว์ ว่าเธอกำลังจะออกเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศเพื่อเปิดโลก โดยจุดหมายปลายทางที่เธอจะมาเที่ยวนั้นก็คือสหรัฐอเมริกา ลอสแองเจลิส แม้ว่าเธอจะโดนครอบครัวห้ามปรามในการเดินทางครั้งนี้ แต่เอลิซาก็ยังคงยืนกรานที่จะมาเที่ยว แต่เพื่อความสบายใจของครอบครัวเอลิซาจึงส่งข่าวให้ครอบครัวตลอดทริปตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม 2013 จนกระทั่งวันที่ 31 มกราคม 2013 ข่าวคราวของเธอก็หายเงียบไป ทำให้ครอบครัวเอลิซาตัดสินใจแจ้งตำรวจเพื่อตามหาเธอ

การค้นหาที่ยาวนานกว่า 2 สัปดาห์ของทางการ นอกจากจะไม่พบร่างของเอลิซาแล้ว เบาะแสอันน้อยนิดนอกจากภาพในกล้องวงจรปิดที่ชวนพิศวง ร่องรอยที่บ่งชี้ว่าเอลิซาไม่เคยก้าวออกจากโรงแรมไปเลยในวันที่เธอหายตัวไป จนกระทั่งแขกที่เข้าพักในโรงแรมเซซิลเริ่มร้องเรียนกับทางโรงแรมว่าน้ำประปาไหลเอื่อย มิหนำซ้ำยังมีกลิ่นแปลกๆและรสชาติประหลาด ทำหน้าช่างประจำโรงแรมอย่างซานติเอโก โลเปซต้องขึ้นไปตรวจในแทงค์น้ำ และทำให้พบกับศพของเอลิซา แลมที่นอนไร้วิญญาณอยู่ในแทงค์น้ำ

ระหว่างทางของสารคดีชุดนี้ อาศัยบทสัมภาษณ์ของบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกับเอลิซา แลมในทางอ้อม อาทิ เอมี่ ไพรซ์ อดีตผู้จัดการโรงแรม คิม คูเปอร์ นักประวัติศาสตร์ เกร็ก แคดดิ้ง นักสืบจากสำนักงานตำรวจลอสแองเจลิส เคนเน็ต กิฟเวน อดีตผู้พักอาศัยในโรงแรมเซซิล เหล่าชาวเน็ตและยูทูปเบอร์ที่พยายามแกะรอยค้นหาความจริงตามหลักฐานที่พวกเขามีอยู่ในมือและพยายามวิเคราะห์ว่าตกลงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

วิธีการนำเสนอเรื่องราวทั้งหมดของซีรีส์สารคดีนี้ ใช้สูตรเดียวกับหนังสืบสวนสอบสวน โดยสร้างปริศนาชิ้นใหญ่ขึ้นมา ก่อนที่จะพาคนดูไปปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดทีละเล็กทีละน้อย ซึ่งความยาว 4 ตอนและความยาวต่อ 1 ตอนที่ประมาณ 50 นาทีนั้น บางจุดของเรื่องโดยเฉพาะฟุตเทจของภายนอกตัวโรงแรมที่ใส่เข้ามาเยอะจนล้น รวมไปถึงความเยิ่นเย้อในแต่ละตอน ซึ่งถ้าหากตัดออกซีรีส์นี้อาจจะกระชับรวบรัดขึ้นและไม่รู้สึกชวนหาวในแต่ละตอนอย่างที่เป็นอยู่ แต่ดูเหมือนความตั้งใจของทีมผู้สร้างที่จะเลือกให้ตอนแรกของซีรีส์เป็นเหมือนคดีพิศวง ตอนที่ 2 คือการสืบหาความจริงก่อนที่จะพบศพของเอลิซา ตอนที่ 3 คือการตั้งคำถามว่าทำไมเอลิซาถึงเป็นศพในสภาพนั้น และตอนที่ 4 คือบทสรุปของคดีนี้

อย่างไรก็ตาม สำหรับใครก็ตามที่เคยอ่านข่าวของเอลิซา แลมและค้นพบว่าตกลงแล้ว ทำไมเธอถึงเสียชีวิตในสภาพเช่นนั้น ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเสียเวลาดูซีรีส์นี้ นอกเสียจากว่าท้ายที่สุดแล้วเมื่อซีรีส์เผยบทสรุปออกมา ก็ทำให้คนดูตระหนักว่าอาการบางอย่างสำหรับคนใกล้ตัวก็ถือเป็นสัญญาณที่ควรเฝ้าระวัง มิเช่นนั้นแล้วคนที่คุณรักอาจจะเป็นเหมือนหญิงสาวผู้โชคร้ายอย่างเอลิซา ก็เป็นได้