เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

Godmothered นางฟ้าแม่ทูนหัวกับภารกิจใหม่ที่ไม่ใช่แค่การเสกรองเท้าแก้ว

Godmothered นางฟ้าแม่ทูนหัวกับภารกิจใหม่ที่ไม่ใช่แค่การเสกรองเท้าแก้ว

ถึงแม้ว่า Godmothered จะไม่ได้เล่าถึงตัวละครนางฟ้าแม่ทูนหัวคนเดียวกันกับใน Cinderella แต่คนดูจะได้รับการอธิบายถึงอาณาจักรเทพนิยายซึ่งมีนางฟ้าแม่ทูนหัวคนอื่นๆ ที่ต้องฝึกฝนวิชาความรู้ ทำภารกิจในการสานฝันให้เด็กสาวสักคนสมความปรารถนา ทว่าเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป คำขอเหล่านั้นก็หายไปตามกาลเวลา จนสถาบันนางฟ้าแม่ทูนหัวอาจจะต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และนางฟ้าที่เหลืออยู่อาจจะต้องอัปเปหิตัวเองไปเป็น “นางฟ้าฟันน้ำนม” แทน! 

 

เอเลนอร์ (จิลเลียน เบลล์) หนึ่งนางฟ้าแม่ทูนหัวฝึกหัด เธอยังคาดหวังที่จะได้เดบิวต์เป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวเต็มตัว เธอจึงแอบเดินทางมายังโลกมนุษย์เพื่อตามหาแม็คเคนซี่ (อิซล่า ฟิชเชอร์) เด็กสาวผู้เคยอธิฐานความฝันอันสูงสุดไว้ในอดีต ซึ่งบัดนี้เธอเติบโตกลายเป็นคุณแม่ที่เต็มไปด้วยภาระทั้งงาน ชีวิตครอบครัวที่ไม่สมหวัง รวมไปถึงลูกๆที่เธอแทบจะไม่มีเวลาอบรมดูแล

ด้วยความไม่เข้าใจในวิถีของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปเอเลเนอร์ผู้ถูกสอนมาภายใต้แนวคิดแบบดั้งเดิมมาจากมอยร่า (เจน เคอร์ติน) นางฟ้าแม่ทูนหัวรุ่นใหญ่ ที่เชื่อว่าการทำภารกิจให้สำเร็จนั้นคือการเนรมิตสิ่งที่เด็กสาวปรารถนาอันประกอบไปด้วย ชุดไปงานราตรี ความรักจากเจ้าชายรูปงาม และปราสาทที่หลุดมาจากยุคกลาง แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผันเปลี่ยนไปจากที่เธอเรียนรู้มา เอเลนอร์จึงไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้และนำมาซึ่งความโกลาหล

ตลอดทั้งเรื่องตัวละครอย่างเอเลนอร์แทบจะไม่ได้เรียนรู้อะไร นอกจากสร้างวีรกรรมป่วนจนนางเอกของเรื่องที่ดูเหมือนชีวิตของเธอจะวุ่นวายร้อยแปดพันเก้าอยู่แล้ว โดยเฉพาะสถานที่ทำงานอย่างสำนักข่าวช่อง 8 ซึ่งมีสภาพไม่ต่างอะไรจากสำนักข่าวบางแห่งในประเทศไทยที่นำเสนอแต่ข่าวประเภทโฆษณาชวนเชื่อ การที่เธอต้องมารับมือนางฟ้าแม่ทูนหัวอย่างเอเลนอร์อีก เราอาจจะเรียกได้ว่าเธอแทบจะกลายเป็นคุณแม่ตัวอย่างเลยทีเดียว

ปัญหาอยู่ที่ว่าหนังอย่าง Godmothered จะหยิบตัวละคร ที่มาจากจักรวาลเจ้าหญิงที่คนทั้งโลกหลงรักและรู้จักเทพนิยายเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เราแทบจะไม่ได้เห็นพัฒนาการของตัวละครอย่างเป็นรูปเป็นร่างนัก มิหนำซ้ำมุกตลกตลอดรายทางของเรื่องก็ไม่ได้จี้เส้นแถมออกจะเป็นความน่ารำคาญเสียด้วยซ้ำ จนกระทั่งหนังเลือกจะโยนบทประเภท “กล่าวสุนทรพจน์” ท้ายเรื่องเพื่อมัดใจคนดู ก่อนที่จะบอกกับผู้ชมว่าโลกปัจจุบันมันเปลี่ยนแปลงไปความรักก็มีหลากหลาย มันไม่ใช่เทพนิยายแบบเดิมที่มีแค่เพียงเจ้าชายและเจ้าหญิงเท่านั้น และทุกคนก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข

น่าเสียดายทั้งที่จริงแล้ว Godmothered มีประเด็นที่ว่าด้วยโลกใบเก่าของคนรุ่น Baby Boomer (ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แอนิเมชั่นอย่าง Cinderella ออกฉายและได้รับความนิยมไปทั่วโลก) ภาพลักษณ์ของนางฟ้าแม่ทูนหัวในเรื่องนั้น จึงเปรียบเสมือนหญิงชราใจดี ได้เดินทางมาช่วยซินเดอเรล่าผู้อาภัพ ก่อนจะร่ายคาถาเสกให้เธอกลายเป็นหญิงสาวในชุดราตรีสุดอลังการ พร้อมรองเท้าแก้ว รถม้าจากฟักทอง และสารถีจากเหล่าสรรพสัตว์ในบ้านของเธอ ซึ่งเมื่อมองไปถึงฐานะทางสังคมของผู้หญิงในยุคสมัยนั้น การได้แต่งงานและครองคู่กับผู้ชายสักคน คือค่านิยมที่สังคมได้ขีดเส้นมาตรฐานเอาไว้ให้ผู้หญิงในห้วงเวลานั้นแบบเดียวกับซินเดอเรล่า

ทว่ายุคสมัยปัจจุบันตัวละครอย่างแม็คเคนซี่ ซึ่งน่าจะเป็นคนในยุค Gen Y หรือเรียกอีกอย่างว่า Millennials เด็กสาวที่เติบโตมาพร้อมกับความคิดของตัวเอง ได้เรียนรู้อีกว่าสรรพสิ่งรอบตัวไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน และความรักในแบบเทพนิยายนั้นอาจจะไม่ได้มีอยู่จริง เจ้าชายที่เคยเฝ้าฝัน วันหนึ่งเขาอาจจะผันแปรไปเป็นวายร้ายและไปแต่งงานกับเจ้าหญิงคนอื่น แถมผู้หญิงในยุคปัจจุบันยังต้องแบกรับหน้าที่ในการออกไปทำงานเพื่อหาเงินกลับมาเลี้ยงดูลูก ไม่ได้เป็นแม่บ้านที่ต้องอยู่เฝ้าเรือนแบบเดิม อีกต่อไป

เมื่อหนังไม่ได้พยายามทำตัวซีเรียสจริงจัง ประเด็น “คุณแม่ในยุคศตวรรษที่ 21” จึงไม่ได้รับการเน้นย้ำนำเสนออย่างเป็นชิ้นเป็นอัน เพราะหนังก็มัวแต่สาละวนไปกับวีรกรรมไร้เดียงสาของนางฟ้าแม่ทูนหัวอย่างเอเลนอร์จนเราก็คาดหวังว่าให้เธอได้เรียนรู้ เติบโตและมีพัฒนาการทางความคิดผ่านโลกมนุษย์อันแสนบิดเบี้ยวในยุคปัจจุบันเสียที แต่กว่าที่ช่วงเวลานั้นจะมาถึงหนังก็ทิ้งคนดูเอาไว้กับประเด็นเดิมๆที่ย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหนเสียทีอย่างน่าเสียดาย

 Godmothered ซึ่งทำตัวไร้สาระมาตลอดทั้งเรื่อง แต่เกิดพุทธปัญญาได้ในตอนท้ายแบบไร้เหตุผล แถมยัดคำพูดสุดเก๋ใส่ปากตัวละคร เพื่อบอกคนดูว่าการเป็นนางฟ้าแม่ทูนหัวในยุคนี้ใช้ไม้กายสิทธิ์เสกทุกอย่างไม่ได้ ต้องใช้สมองทำความเข้าใจสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยนะจ๊ะ..... จึงดูเป็นความ “ประดิษฐ์” ทุกอย่างให้สวยหรูราวกับมีเวทมนตร์ ในแบบที่เราต้องฉุกคิดให้ทันว่า บางครั้งการทำความเข้าใจมนุษย์แบบผิวเผินนั้น ก็ไม่ต่างอะไรจากการลอยตัวอยู่เหนือน้ำและประกาศว่าตัวเองเป็นคนสนใจความเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งที่จริงก็แค่หยิบฉวยคำคมจากผู้นำทางความคิด เอามาเป็นของตัวเองโดยไม่ได้มีความเข้าใจในสภาวะที่คนเหล่านั้นกำลังเผชิญอย่างแท้จริงด้วยซ้ำไป