เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

[เปิด Netflix มารีวิว] Spiderhead จากเทพเจ้าสายฟ้าสู่นักวิทยาศาสตร์บ้า จับคนมาเป็นหนูทดลอง

[เปิด Netflix มารีวิว] Spiderhead จากเทพเจ้าสายฟ้าสู่นักวิทยาศาสตร์บ้า จับคนมาเป็นหนูทดลอง

ช่วงนี้ดูเหมือนเราจะได้ชมการแสดงภาพยนตร์ของครอบครัวเฮมส์เวิร์ธกันแบบถี่ยิบหลังจากที่เดือนก่อน Interceptor ผลงานการแสดงของเอลซา พาทากี ภรรยาของคริส เฮมส์เวิร์ธที่นำแสดงในหนังเรื่อง Spiderhead และหนังมาร์เวลอย่าง Thor: Love and Thunder ที่กำลังเข้าฉายอยู่ในโรงภาพยนตร์ตอนนี้

Spiderhead เป็นผลงานสตรีมมิ่งลง Netflix กำกับโดยโจเซฟ โคซินสกี้ ผู้กำกับเจ้าของผลงาน Top: Gun Maverick (2022) ที่พึ่งเข้าฉายในโรงไป โดยหนังเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น Escape from Spiderhead ผลงานการแต่งของจอร์จ ซอนเดอร์ส ได้รับการตีพิมพ์ลงใน The New Yorker ซึ่งในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ได้รับการดัดแปลงเขียนบทเพิ่มเติมภายหลังเพื่อขยายความเรื่องราวให้ชัดเจนมากขึ้น

ตัวหนังบอกเล่าเรื่องราวของเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง อันเป็นสถานที่ตั้งของศูนย์วิจัยที่มีเหล่านักโทษซึ่งทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับทางภาครัฐเพื่อแลกความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายมากกว่าในคุกเรือนจำ โดยที่พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าตัวเองคือ “หนูทดลอง”

โฟกัสหลักของหนังพาผู้ชมไปตามติดชีวิตของเจฟฟ์ (ไมลส์ เทลเลอร์) นักโทษที่เดินทางมายังเกาะแห่งนี้คนล่าสุด เขาเข้ารับการทดลองโดยมีสตีฟ (คริส เฮมส์เวิร์ธ) คอยให้ยาบางอย่างอยู่ตลอด โดยเหล่านักโทษที่อยู่ในศูนย์วิจัยแห่งนี้จะมีตัวป้อนยาที่ติดอยู่กับแนวกระดูกสันหลัง โดยควบคุมผ่านโปรแกรมออนไลน์ที่สามารถทำให้พวกเขาแสดงอารมณ์อันหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หลงรักผู้อื่นจนมีเซ็กส์กันอย่างดุเดือด หรือเกิดอาการหวาดกลัวกระทั่งเห็นที่เย็บกระดาษกลายเป็นสัตว์ประหลาดเลยทีเดียว

เมื่อการทดลองเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆ เจฟฟ์เริ่มเกิดความสงสัย ระแคะระคายว่าจริงๆแล้ว สตีฟนั้นเป็นใครกันแน่ แล้วตกลงการทดลองที่เกิดขึ้นกับตัวเขาและเพื่อนๆนักโทษนั้น ทำไปเพื่อวัตถุประสงค์อะไรกันแน่ และยิ่งเขาค้นหาคำตอบ ความลับอันมืดดำของสตีฟก็เริ่มผุดพรายออกมาทีละเล็กทีละน้อย และทำให้เขารู้ว่าจริงๆแล้วบางทีการตัดสินใจเดินทางมาที่เกาะแห่งนี้อาจจะน่ากลัวกว่าการติดคุกก็เป็นได้

อันที่จริง Spiderhead ดำเนินเรื่องราวตามสูตรหนังไซไฟ-ระทึกขวัญที่นำพาผู้ชมไปค้นหาคำตอบว่า ตกลงแล้วการทดลองปรับเปลี่ยนอารมณ์ของมนุษย์ด้วยตัวยานั้น นำไปสู่อะไรบ้าง รวมไปถึงการขุดลึกไปถึงสภาพจิตใจว่าทำไมตัวละครอย่างเจฟฟ์จึงกลายเป็นนักโทษที่ต้องได้รับการคุมขัง แต่น่าเสียดายที่หนังไม่มีอะไรพลิกแพลง วิธีการดำเนินเรื่องค่อนข้างราบเรียบ (สารภาพว่าผู้เขียนหลับไป 2 รอบจนใช้เวลาดูหนังเรื่องนี้ไปถึง 3 วัน) โชคยังดีที่การแสดงของเหล่านักแสดงนำได้โอบอุ้มให้เรายังอยากจะติดตามว่าบทสรุปของมันจะนำพาผู้ชมไปสู่จุดไหน

อย่างไรก็ตามถ้าถามว่ามีความจำเป็นต้องดูไหม เราก็คงตอบอย่างไม่เกรงใจว่า Spiderhead ไม่สตรีมมิ่ง ก็ไม่พลาดอะไรนะ