ทานนม-น้ำตาลมากเกินไป อาจเสี่ยง “ลำไส้รั่ว”
หากคุณนึกถึงท่อน้ำ หรือสายยางที่รั่วแตก ของเหลวจากท่อจะไหลซึมออกมาสู่ภายนอก ซึ่งปัญหานี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยที่อาจทำให้เราสูญเสียน้ำไปบางส่วน น้ำไหลเฉอะแฉะพื้น และบริเวณรอบข้าง และยังแก้ไขได้ง่ายๆ เพียงเปลี่ยนท่อใหม่ แต่อาการของ “ลำไส้รั่ว” ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะนอกจากเราจะเปลี่ยนลำไส้ของตัวเองไม่ได้แล้ว สิ่งที่รั่วซึมออกมายังเป็นอันตรายต่อร่างกายอย่างมากจนไม่สามารถละเลยได้อีกด้วย
ลำไส้รั่ว คืออะไร?
ลำไส้รั่ว คืออาการที่เซลล์เยื่อบุผิวลำไส้อักเสบบวม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเซลล์ที่ส่วนของสารพิษ และอาหารที่ย่อยไม่เสร็จสมบูรณ์ที่เตรียมส่งไปทางลำไส้ใหญ่เพื่อลำเลียงขับถ่ายออกไปจากร่างกายสามารถเล็ดลอดเข้าไปสู่ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายได้ ทำให้เป็นสาเหตุของอาการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกายตามมาได้
สาเหตุของลำไส้รั่ว
จริงๆ แล้วสาเหตุที่แน่ชัดของลำไส้รั่วยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีปัจจัยหลายประการที่เพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการลำไส้รั่ว ได้แก่
- ความเครียดสะสม
- นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
- รับประทานอาหารประเภทนม และน้ำตาลมากเกินไป
- ทานอาหารที่มีส่วนผสมของกลูเตน (สำหรับคนที่ไวต่อกลูเตนอยู่แล้ว)
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ลำไส้อักเสบจากผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ หรือยากลุ่ม NSAIDS ที่ทานอยู่เป็นประจำ
อาการของลำไส้รั่ว
สัญญาณอันตรายของโรคลำไส้รั่ว ได้แก่
- มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากขึ้น ทำให้รู้สึกอึดอัดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ปวดท้องเพราะมีแก๊สมากเกินไป
- เหนื่อย หรือเพลียง่าย ทั้งๆ ที่นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- มือเท้าเย็น โดยไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ ของโรคต่อมไร้ท่ออื่นๆ เช่น ไทรอยด์
- ปวดศรีษะ หรือปวดตามข้อโดยไม่ทราบสาเหตุ
- มีอาการแพ้อาหารแฝง (ไม่ได้มีอาการแพ้อาหารหลังทานโดยทันทีอย่างเห็นได้ชัด เช่น อาจรู้สึกท้องอืด แน่นท้อง อ่อนเพลีย หรือมีอาการคันเล็กๆ น้อยๆ หลังจากทานอาหารบางประเภทไปสักระยะหนึ่ง)
- น้ำหนักขึ้นง่ายผิดปกติ
- มีผื่น หรือสิวขึ้นเรื้อรังรักษาไม่หาย
เป็นต้น
ทั้งนี้ การจะทราบว่าเรามีอาการลำไส้รั่วหรือไม่ ต้องให้แพทย์เป็นผู้ตรวจเช็กร่างกาย และซักประวัติอย่างละเอียดด้วยตัวของแพทย์เอง