"รุ่งนภา" คว้าแชมป์สเตจที่ 5 ศึกจักรยาน "แองแยง เทเลวิชั่น คัพ" ที่เวียดนาม

“เสธ.หมึก” พลเอกเดชา เหมกระศรี ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (เอซีเอฟ) และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก ร.ต.อ.อัครัช ผ่องบุรุษ ผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ถึงการแข่งขันจักรยานทางไกลสตรีรายการ “แองแยง เทเลวิชั่น คัพ 2023” ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งแข่งขันระหว่างวันที่ 7-15 กรกฎาคม ล่าสุด เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม เป็นการชิงชัยสเตจที่ 5 ระยะทาง 114 กิโลเมตร โดยนักปั่นสาวทีมชาติไทยต้องต่อสู้กับนักปั่นเวียดนามอีก 11 ทีม และเจอกับการจัดแข่งขันที่ไม่ได้มาตรฐานของสหพันธ์จักรยานนานาชาติ (ยูซีไอ) ไม่มีทั้งซุ้มสตาร์ต, ซุ้มเส้นชัย และป้ายบอกระยะทางเช่นเคย แต่นักปั่นสาวไทยก็ยังทำผลงานได้อย่างสุดยอด สามารถฝ่าฟันเอาชนะคู่แข่งมาได้อย่างงดงาม

พลเอกเดชา กล่าวว่า เกมการแข่งขันวันนี้ทางสตาฟฟ์โค้ชได้รายงานว่า “เนเน่” น.ส.รุ่งนภา กุศล หาจังหวะกระชากหนีเดี่ยวออกมาจากลุ่มใหญ่ จากนั้นนักปั่นกลุ่มตามจำนวน 5 คน ซึ่งมี น.ส.ปัณฑิตา ชิตมาตย์ รวมอยู่ด้วยก็ไล่มาทัน แล้วมาสปรินท์สู้กันหน้าเส้นชัย ปรากฏว่า รุ่งนภา เบียดสู้กับนักปั่นเวียดนามอีก 2 คน ก่อนจะเฉือนชนะเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก คว้าแชมป์สเตจที่ 5 มาครองอย่างงดงาม โดยมี โฮ ง็อก ลัน เฟือง ตามมาเป็นอันดับ 2 และอันดับ 3 ทิ บาช ส่วน ปัณฑิตา ได้อันดับที่ 4 โดยทั้งหมดทำเวลา 3.00.36 ชั่วโมงเท่ากัน ขณะที่นักปั่นไทยคนอื่น ๆ ซึ่งมากลับกลุ่มใหญ่ น.ส.กมลรดา ขาวปลอด ได้อันดับที่ 10, น.ส.อภิชยา หันทยุง ได้อันดับที่ 17, น.ส.ณัฐชา สงเคน ได้อันดับที่ 19 โดยทำเวลาเท่ากันที่ 3.01.25 ชั่วโมง

นายกสองล้อไทย กล่าวอีกว่า สำหรับผู้นำเวลารวมยังเป็นของ เหงียน ทิ ทิ จากทีมแท็บ ดวน ล็อก ตรอย เวลา 14.06.51 ชั่วโมง โดยมี “ตาล” น.ส.กมลรดา ขาวปลอด นักปั่นสาวทีมชาติไทยตามมาเป็นอันดับ 7 เวลาตามหลัง 1.12 นาที ด้านผลประเภททีม จากชัยชนะของ รุ่งนภา และ ปัณฑิตา ที่ได้อันดับ 3 ส่วนคนอื่น ๆ ก็ทำอันดับได้ดีทำให้ทีมชาติไทยได้อันดับ 1 ประจำสเตจที่ 5 ด้วยเวลา 9.02.37 ชั่วโมง, ที่ 2 ทีมวิน ลอง เวลา 9.03.26 ชั่วโมง, ที่ 3 ทีมกาช & ฟาน คอน วอน บิน ดวง เวลา 9.03.26 ชั่วโมง นับว่านักปั่นสาวไทยชุดนี้มีหัวใจนักสู้เกินร้อย แม้จะแข่งขันท่ามกลางนักปันเวียดนามทั้ง 11 ทีมเกือบ 50 คน แต่ก็ยังฝ่าฟันอุปสรรคคว้าชัยชนะมาจนได้ อาจเป็นเพราะว่าช่วงแรก ๆ นักกีฬาของไทยยังงงกับระบบการจัดแข่งขันที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีการบอกระยะทาง ไม่มีซุ้มเส้นชัย จึงไม้รู้ว่าควรจะสปรินท์ช่วงไหน แต่ตอนนี้ก็เริ่มจับทางได้แล้ว และน่าจะทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ