เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

\

"โจวเจี๋ย" หายไปไหน? พระเอก องค์หญิงกำมะลอ จากพระเอกอันดับ 1 สู่ชีวิตโดดเดี่ยว

เปิดชีวิต โจวเจี๋ย พระเอกดังจาก “องค์หญิงกำมะลอ” จากจุดสูงสุดสู่จุดตกต่ำ และบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต

โจวเจี๋ย (Zhou Jie) อดีตพระเอกดังจากซีรีส์ในตำนาน "องค์หญิงกำมะลอ" จากบท "เอ้อคัง" กลับมาเป็นกระแสอีกครั้ง เมื่อเรื่องราวชีวิตจริงที่ทั้งรุ่งโรจน์ ร่วงโรย และกลับมายืนได้ใหม่ กลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ ซีรีส์ดังเมื่อปี 1998 ทำให้เขากลายเป็นดาวค้างฟ้าในชั่วข้ามคืน แต่เส้นทางชีวิตกลับไม่ได้ราบรื่น เมื่อต้องเผชิญข่าวฉาวซ้ำซ้อนจนต้องออกจากวงการ ก่อนผันตัวไปทำฟาร์มจนร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ความสำเร็จทั้งหมดกลับแลกมาด้วยความเจ็บปวดครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาไม่ได้อยู่กับพ่อในวินาทีสุดท้าย

โจวเจี๋ย

จากดาราดังระดับเอเชีย สู่เส้นทางดิ่งลงเพราะข่าวฉาว

ในปลายยุค 90s ชื่อของ โจวเจี๋ย โดดเด่นขึ้นมาจากบท “เอ่อคัง” ชายหนุ่มผู้ซื่อสัตย์ สุขุม และเปี่ยมเสน่ห์ จากซีรีส์ “องค์หญิงกำมะลอ” ความนิยมของซีรีส์ส่งให้เขาขึ้นแท่นดาราระดับ A-List ควบคู่กับ เจ้าเวย, หลินซินหยู, ซูโหย่วเผิง และฟ่านปิงปิง พร้อมมีผลงานฮิตต่อเนื่องอย่าง “มังกรหยก” และ “เปาบุ้นจิ้นวัยหนุ่ม”

แต่เมื่ออาชีพกำลังรุ่งที่สุด ชีวิตของเขากลับพลิกอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะกระแสข่าวฉาวที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ทั้งการถูกกล่าวหาว่าจูบเกินบทกับหลินซินหยูในปี 2004, คดีขับรถชนและทำร้ายเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยในปี 2008 รวมถึงอุบัติเหตุชนแท็กซี่แล้วหลบหนีในปี 2009 ยังไม่นับข่าวลือปัญหาหนี้สินและความขัดแย้งในกองถ่าย

ภาพลักษณ์ของเขาตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตปฏิเสธงานทั้งหมด เขากลายเป็นดาราที่ไม่มีใครจ้างจนถึงจุดที่เคยคิดสั้น แต่ไม่สำเร็จ เป็นช่วงเวลามืดมนที่สุดในชีวิตของเขา

ออกจากวงการอย่างเงียบ ๆ ผันตัวสู่เกษตรกรพันล้าน

หลังถูกสังคมกดดันอย่างหนัก ในปี 2015 โจวเจี๋ย ตัดสินใจออกจากวงการบันเทิง และนำเงินทั้งหมดไปลงทุนในภาคการเกษตร เขาเช่าที่ดินหลายพันไร่ ปลูกข้าว ทำฟาร์มม้า เลี้ยงไก่ เลี้ยงวัว พร้อมผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษและข้าวออร์แกนิก

ด้วยสายตาธุรกิจที่เฉียบคม โจวเจี๋ยกลายเป็น “เศรษฐีเงียบ” มีทรัพย์สินกว่า 100 ล้านหยวน (ราว 500 ล้านบาท) เป็นเจ้าของบริษัท 5 แห่ง ที่ดินการเกษตรจำนวนมาก และโรงบ่มไวน์อีกหนึ่งแห่ง ชีวิตที่ดูเหมือนประสบความสำเร็จทุกด้าน ทำให้หลายคนคิดว่าเขาได้พบเส้นทางใหม่ที่มั่นคงแล้ว

ความเสียใจครั้งใหญ่ของชีวิต “มีเงินมากมาย แต่ไม่มีพ่ออยู่ด้วยอีกแล้ว”

แม้จะร่ำรวยและมีชื่อเสียงด้านธุรกิจ แต่ในปี 2016 โจวเจี๋ยต้องเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในชีวิต เมื่อเขาไม่ได้อยู่ดูใจพ่อเป็นครั้งสุดท้าย เขายอมรับว่าในช่วงนั้นมัวแต่ทำงานหนัก ดูแลกิจการขนาดใหญ่ จนไม่ได้อยู่เคียงข้างพ่อในยามป่วยหนัก แม้จะรีบขับรถข้ามคืนกลับปักกิ่ง แต่ก็ไม่ทันได้ฟังคำพูดสุดท้ายของพ่อ

จากนั้นในปี 2021 แม่ของเขาก็จากไป ทำให้เขาเหลือเพียงลำพัง ไม่มีญาติพี่น้อง และยังไม่ได้แต่งงาน ความเงียบในบ้านใหญ่ทำให้เขาตระหนักว่า ความสำเร็จทางการเงินไม่สามารถทดแทนความอบอุ่นของครอบครัวได้เลย

“ผมมีเงินเป็นร้อยล้าน แต่ไม่มีใครเรียกชื่อผม ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัว ผมไม่ต้องการเงินเลย” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด

อุทิศชีวิตให้การกุศล ใช้ชีวิตสมถะ และยอมรับว่าตนคือ “ชาวนาที่โดดเดี่ยว”

ด้วยความรู้สึกผิดฝังลึก โจวเจี๋ยใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นทำงานเพื่อสังคม ทั้งสร้างโรงเรียน บริจาคเงินให้หลายองค์กร และมอบข้าวสาร 10 ตันให้บุคลากรทางการแพทย์ในอู่ฮั่น ช่วงโรคระบาดใหญ่

แม้จะเป็นเจ้าของทรัพย์สินมูลค่ามหาศาล แต่เขากลับใช้ชีวิตเรียบง่าย เสื้อผ้าหลายชิ้นเขาใส่มานานกว่า 10 ปี โดยบอกว่าไม่สนใจภาพลักษณ์ภายนอกอีกต่อไป

“ทุกวันนี้ผมก็แค่ชาวนาคนหนึ่ง ที่มีชีวิตบนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยว” คือคำพูดที่สะท้อนความจริงของชายผู้เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวงการบันเทิง

เรื่องราวที่สะเทือนใจและเป็นบทเรียนของคนทั้งโลก

ชีวิตของ โจวเจี๋ย เป็นทั้งแรงบันดาลใจและคำเตือนถึงความไม่แน่นอนของชื่อเสียง รวมถึงคุณค่าของครอบครัวที่ไม่อาจใช้เงินซื้อได้ ไม่ว่าเขาจะเคยเป็นดาราดัง หรือเป็นเจ้าของฟาร์มพันล้าน แต่ความรักจากครอบครัวยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์เสมอ

บทความเกี่ยวข้อง