เปิดตำนาน "กิ่งแก้ว" นักโทษประหารหญิง สู่หนังผีเรื่องใหม่ รับบทโดย "ทราย เจริญปุระ"
ทราย เจริญปุระ ทำถึง! หนังผีเรื่องใหม่ "กิ่งแก้ว" นักโทษประหารหญิงในตำนาน
ภาพยนตร์ “กิ่งแก้ว” ได้แรงบันดาลใจจากคดีจริงในยุค พ.ศ. 2522 เรื่องราวของหญิงผู้ต้องโทษประหารในคดีที่เธอไม่เคยยอมรับ “ฉันไม่ผิด...” คือเสียงสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกจบชีวิต แต่เรื่องราวของเธอยังไม่จบ เมื่อบางสิ่งยังคงวนเวียนอยู่ในเงามืดของ “บางขวาง” สถานที่ที่ความเชื่อ และความยุติธรรมถูกท้าทาย
เตรียมเปิดตำนานหลอนจากคดีจริง ที่จะทำให้ทั้งประเทศตั้งคำถามกับ “บาป ความจริง และคำพิพากษา” ผลงานกำกับของ เอกชัย ศรีวิชัย เข้าฉาย 29 มกราคม 2569 ในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ

ทราย เจริญปุระ รับบท กิ่งแก้ว
ภาพบางส่วนจากภาพยนตร์ รวมถึงตัวอย่างแรกที่ปล่อยออกมา กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ ถึงการแสดงอันทรงพลังของ "ทราย เจริญปุระ" ทั้งสีหน้า แววตา เมื่ออยู่ในองค์ประกอบของหนัง ยิ่งทำให้บรรยากาศน่าขนลุกและหดหู่ไปพร้อมกัน
ผู้กำกับอย่าง เอกชัย ศรีวิชัย เปิดเผยถึงทรายว่า " ในหัวผมกิ่งแก้วมีแต่ทรายคนเดียวเท่านั้น" การร่วมงานกันครั้งแรก ขอไป 50% ทรายให้กลับมา 99% ทำให้ภาพยนตร์เรื่องกิ่งแก้วสมบูรณ์ ในแบบฉบับที่อยากให้เป็น ต่อไปทุกคนในประเทศนี้จะเรียกเธอว่า กิ่งแก้ว
กิ่งแก้ว เค้าโครงจากเรื่องจริง
เรื่องราวโศกนาฏกรรมสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2521 คดีลักพาตัวเด็กชายวัย 6 ขวบ ย่านปทุมวัน โดยฝีมือของอดีตลูกจ้างสาว "กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน" กลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่นำไปสู่การประหารชีวิตนักโทษหญิงคนที่ 2 ของไทย และยังคงถูกเล่าขานถึงความอาถรรพ์จนถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญ
กิ่งแก้ว ลอสูงเนิน เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2493 เป็นหญิงสาวจากต่างจังหวัด มีรายงานว่าเป็นชาวนครราชสีมา เดินทางเข้ามาแสวงหาโอกาสในกรุงเทพมหานคร เริ่มต้นอาชีพด้วยการรับจ้างทั่วไป เป็นแม่บ้าน พี่เลี้ยงเด็กตามบ้านนายจ้างเพื่อหาเลี้ยงชีพ
มีข้อมูลระบุว่าช่วงหนึ่งของชีวิต กิ่งแก้วเคยเข้ารับการรักษาอาการป่วยทางจิตเวชที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา ในเวลาต่อมา กิ่งแก้วได้งานเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับครอบครัวเจ้าของร้านอาหารชื่อดังในกรุงเทพฯ มีหน้าที่หลักคือดูแล วีระชัย ลูกชายวัย 6 ขวบของนายจ้าง

แผนลักพาตัวและการฆาตกรรม
แผนการเริ่มขึ้น โดยในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2521 กิ่งแก้วไปรับตัววีระชัยจากโรงเรียนในลักษณะเช่นเดียวกับผู้ปกครองรับเด็กโดยลวงว่าจะพาไปเที่ยวต่างจังหวัด และนำตัวไปซ่อนไว้ที่บ้านญาติในตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และกลุ่มผู้ก่อการส่งจดหมายเรียกค่าไถ่ 200,000 บาทจากครอบครัวแลกกับชีวิตของวีระชัย โดยให้นำถุงเงินโยนลงบนด้านซ้ายของทางรถไฟระหว่างสถานีจันทึกกับสถานีปากช่อง โดยผู้ก่อการจะปักธงสีขาวไว้เป็นสัญลักษณ์จุดโยน หากเลยกำหนดจะฆ่าเด็กทันที
แต่ด้วยความมืดในยามค่ำคืน ผู้ปกครองของวีระชัยจึงไม่เห็นธงสัญลักษณ์ ทำให้ไม่สามารถโยนเงินค่าไถ่ลงไปได้ แม้จะพยายามค้นหาอีกโดยสนธิกำลังกับตำรวจก็ไม่พบธงสีขาวแต่อย่างใด กลุ่มผู้ก่อการจึงฆ่าเหยื่อโดยนำตัววีระชัยออกไปที่ไร่ข้าวโพดตรงจุดที่ขุดหลุมดินไว้ ห่างจากบ้านราว 50 เมตร จากนั้นปิ่นจับมือกิ่งแก้วแทงวีระชัยซึ่งหลับอยู่บนตักกิ่งแก้วจนวีระชัยตื่นและเรียกกิ่งแก้วจนกิ่งแก้วสะเทือนใจ จากนั้นผู้ก่อการคนอื่น ๆ ได้ไล่กิ่งแก้วให้กลับบ้านไป แล้วแทงวีระชัยซ้ำและหักคอวีระชัยจนแน่ใจว่าขาดใจตาย จากนั้นฝังศพโดยใช้ดินอุดปากเพื่อข่มวิญญาณไว้
วาระสุดท้ายและการประหารชีวิต
หลังก่อเหตุสะเทือนขวัญได้เพียง 2 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ เริ่มจับกุม กิ่งแก้ว, ทองสุข และทองม้วน ได้ก่อนในวันที่ 19 ตุลาคม 2521 ส่วนสมาชิกที่หลบหนีไปถูกตามจับกุมได้ในเวลาต่อมาที่จังหวัดชัยภูมิ และพื้นที่ใกล้เคียง
ในชั้นสอบสวน กิ่งแก้วให้การปฏิเสธ อ้างว่าตนเองไม่ได้อยากฆ่าเด็ก แต่ถูกสถานการณ์บีบคั้นและถูกกดดัน กิ่งแก้วพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้งในห้องขังเพราะความเครียดและภาพหลอนของเหยื่อ
หลังถูกคุมขัง กิ่งแก้วมีอาการเครียดจัดและพยายามฆ่าตัวตายในห้องขัง แต่เจ้าหน้าที่ช่วยไว้ได้ทัน บทสรุปของคดีมาถึงเมื่อ พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ใช้อำนาจตามมาตรา 200 แห่งรัฐธรรมนูญ สั่งลงโทษประหารชีวิตกิ่งแก้ว ลอสูงเนิน และปิ่น (แฟนหนุ่ม) รวมถึงผู้ร่วมขบวนการบางส่วน
สุดท้ายศาลตัดสินประหารชีวิตเธอพร้อมกับผู้ร่วมขบวนการทั้งสอง ในวันที่ 13 มกราคม 2522 นางกิ่งแก้วถูกนำตัวเข้าสู่แดนประหารเป็นคนแรกในเวลา 17.55 น. ถือเป็นนักโทษประหารหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย ต่อจาก นางสมัย ปานอินทร์ (นักโทษหญิงคดีค้ายาเสพติดที่ถูกประหารคนแรก)

ตำนาน "ยิงไม่ตาย" และเสียงลือความเฮี้ยน
13 มกราคม 2522 กิ่งแก้วถูกนำตัวมาจากทัณฑสถานหญิงมายังเรือนจำกลางบางขวาง แล้วประหารเป็นคนแรกในเวลา 17.40 น. ระหว่างการดำเนินการการประหารชีวิต หลังจากประหารกิ่งแก้วและตรวจอย่างคร่าว ๆ ว่าถึงแก่ความตายแล้ว จึงนำตัวลงจากหลักประหารเพื่อประหารผู้ต้องโทษรายต่อไป จากนั้นไม่นานพบว่ากิ่งแก้วพยายามส่งเสียงเพื่อร้องขอชีวิตและพยายามลุกขึ้น เมื่อเจ้าพนักงานเห็นเช่นนั้นจึงนำตัวขึ้นหลักประหารและเลื่อนจุดยิงไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อยิงซ้ำ กิ่งแก้วจึงสิ้นใจลง
ต่อมาสันนิษฐานว่าหัวใจของกิ่งแก้วนั้นตั้งอยู่กลางอกทางซ้ายค่อนมาทางด้านขวามากกว่าคนปกติ จากนั้นจึงดำเนินการประหารเกษมและปิ่นเป็นรายต่อไปตามลำดับ โดยปิ่นก็ต้องยิงถึงสองชุดเช่นเดียวกับกิ่งแก้ว
เรื่องราวของกิ่งแก้วยังถูกถ่ายทอดผ่านสื่อบันเทิงมาอย่างต่อเนื่อง เช่น ในภาพยนตร์เรื่อง “เพชฌฆาต” (2557) ที่สร้างจากบันทึกของเชาวเรศน์ จารุบุณย์ เพชฌฆาตคนสุดท้าย ก็มีฉากนักโทษหญิงยิงเป้าไม่ตายที่ถอดแบบมาจากกรณีของกิ่งแก้ว