สรุปเลย! GMOs พืชและสัตว์ดัดแปลงพันธุกรรม ดีหรือไม่ดีกันแน่?
เป็นที่ถกเถียงกันมานานหลายปี หลายคน หลายฝ่าย หลายประเทศ หลายภาษา แต่ก็ยังหาข้อยุติกันไม่ได้เสียทีว่า สรุปแล้ว เจ้าพืชผักผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ที่ดัดแปลง หรือตัดแต่งพันธุกรรมให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า GMOs นั้น ส่งผลดีต่อมนุษย์จริงหรือไม่ โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่นำมาประกอบการพิจารณา
แต่สำหรับ Sanook! Health แล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คงไม่พ้นเรื่องความปลอดภัยของแหล่งอาหารเหล่านี้ ว่าจะส่งผลกระทบในแง่ดีและแง่ร้ายต่อสุขภาพของเราหรือไม่ เรามาหาคำตอบกันค่ะ
GMOs คืออะไร?
พืชและเนื้อสัตว์ที่ได้รับการคัดเลือก และนำมาผ่านกระบวนการทางพันธุวิศวกรรม (Genetic Engineering) เพื่อที่จะให้มีคุณลักษณะหรือคุณสมบัติที่จำเพาะเจาะจงตรงตามความต้องการ เช่น ทนต่อสภาพอากาศต่างๆ ที่ไม่เหมาะสมในที่นั้นๆ อาจจะปลูกพืชเมืองหนาวในเขตร้อนได้ หรืออาจจะเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ให้พืชนั้นมีโปรตีน ไขมัน หรือวิตามินมากขึ้น เป็นต้น
ตัวอย่างพืช GMOs ได้แก่
- มะเขือเทศ GMOs ที่เนื้อหนา ลดการบอบช้ำ และเน่าเสียช้าลง
- มะละกอ GMOs ที่ต้านทานโรคไวรัสใบด่างวงแหวนได้ และเมล็ดน้อยลง
- ถั่วเหลือง GMOs ที่ทนทานต่อสารเคมีปราบวัชพืชบางชนิด และทำให้มีไขมันอิ่มตัวน้อยลง เป็นต้น
ดูแล้ว คงเข้าใจว่ามีประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรมมากเลยนะคะ แต่ว่าจะส่งผลอะไรต่อผู้บริโภคกันบ้างนะ
GMOs มีความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง?
1. สิ่งเจือปนจากสารอาหารที่ได้เพิ่มเข้ามาจากการผ่านกระบวนการ GMOs อาจทำให้ผู้บริโภคล้มป่วย หรือเสียชีวิตได้ แต่อันที่จริงแล้วอาจเป็นข้อผิดพลาดระหว่างขั้นตอนการควบคุมคุณภาพ ช่วงที่กระบวนการทำให้ผลิตภัณฑ์สะอาดบริสุทธิ์มากกว่า เช่นตัวอย่างจากข่าวผู้บริโภคที่สหรัฐอเมริกา ที่ผู้บริโภคแพ้ กรดอะมิโน L-Tryptophan ซึ่งเป็นสารอาหารที่เกิดขึ้นจากกระบวนการ GMOs แต่เมื่อสำรวจดูแล้ว พบว่ามีปัญหาจากขั้นตอนควบคุมคุณภาพที่มีความบกพร่อง จึงก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาภายหลังมากกว่า ซึ่งก็ยังเป็นข้อถกเถียงกันอยู่
2. GMOs อาจเป็นพาหะของสารที่เป็นอันตรายได้ โดยมีการทดลองจากนักวิทยาศาสตร์ ให้หนูกินมันฝรั่งดิบที่มีสารเลคติน จาก GMOs แล้วปรากฏว่าหนูมีภูมิต้านทานในร่างกายน้อยลง ลำไส้บวมผิดปกติ แต่ถึงกระนั้นการทดลองนี้ยังมีนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นทักท้วงถึงการออกแบบการทดลองที่ยังมีความบกพร่องอยู่บางประการ จึงทำให้ยังไม่ถือว่าเป็นการทดลองที่สมบูรณ์นัก
3. ยังไม่มีความชัดเจนว่า พืช GMOs จะทำให้มีสารอาหาตามธรรมชาติที่มีอยู่ในมันเองอยู่แล้วเพิ่มปริมาณมากขึ้นหรือไม่ เช่น ถั่วเหลือง GMOs อาจจะมี isoflavone ซึ่งคล้ายสารจำพวกฮอร์โมนเอสโตรเจนมากขึ้น แล้วยังไม่แน่ใจว่าการเพิ่มขึ้นของสารตัวนี้จะเป็นการเพิ่มเอสโตรเจนกับผู้บริโภค จนเป็นอันตรายหรือไม่ (โดยเฉพาะกับเด็ก)
4. พืช GMOs อาจก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้มากขึ้นหรือไม่ เช่น ถั่ว Brazil Nut ที่ผ่าน GMOs อาจทำให้ผู้บริโภคที่ไม่เคยแพ้ถั่ว อาจเกิดอาการแพ้จากปริมาณโปรตีนที่เพิ่มมากขึ้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตามพืช GMOs ที่วางจำหน่ายอยู่ตามท้องตลาดขณะนี้ ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้เพิ่มอัตราความเสี่ยงต่ออาการแพ้มากขึ้นแต่อย่างใด
5. บางส่วนยังกังวลในเรื่องของเนื้อสัตว์ที่ได้รับฮอร์โมนเพิ่มมากขึ้น ว่าจะทำให้เนื้อสัตว์มีสารตกค้างมาถึงผู้บริโภคหรือไม่ เพราะระบบสรีระวิทยาของสัตว์นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าทั้งของในพืชและจุลินทรีย์
6. ผลิตภัณฑ์จาก GMOs อาจทำให้ผู้ป่วยที่กำลังใช้ยาปฏิชีวนะอยู่ เกิดอาการดื้อยือ ทำการรักษาไม่สำเร็จ เนื่องจากการใช้วิธีสร้างสารต้านยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์ จึงทำให้อาจมีสารต้านยาปฏิชีวนะอยู่ในนั้น แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาอธิบายว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อย และสามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้
7. อาจมีส่วนของยีนที่มีอยู่ในเซลล์ GMOs ซึ่งไม่สามารถย่อยในกระเพาะอาหารได้ และอาจมีส่วนทำให้ยีนส์ของมนุษย์มีความผิดปกติในภายหลัง แต่หลังจากการทดลองหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา พบว่าเป็นไปได้น้อยมาก
นอกจากนี้ยังมีปัญหาอีกหลายอย่างที่นักวิทยาศาสตร์ยังทำการทดลอง และยังหาข้อสรุปที่ตรงกันไม่ได้ ดังนั้นบางประเทศจึงยังไม่สนับสนุน หรือเปิดโอกาสให้ประชากรบริโภคอาหารที่มาจาก GMOs นั่นเอง และนอกจากปัญหากับผู้บริโภคยังมีปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมอีกด้วย ดังนั้นเราควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม และอัพเดตอยู่เรื่อยๆ แน่นอนว่าสักวันเราต้องพบกับทางออกที่ช่วยให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น ปลอดภัย และให้ผลที่แน่นอนชัดเจนในไม่ช้าค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก thaibiotech.info
ภาพประกอบ istockphoto