38 ปีกว่าจะรู้ใครคือแม่ "ปูเป้ อรหทัย" สะท้อนชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร
เคยได้เห็นกันแต่ในละครไทยเมื่อผู้เป็นแม่มีเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ จึงจำเป็นต้องยกลูกตัวเองให้กับคนอื่นไปเลี้ยงดูและผู้เป็นแม่ก็ต้องจำใจเก็บเป็นความลับหากเมื่อใดคิดถึงลูกแม่ก็ทำได้เพียงเฝ้ามอง และเรื่องราวเหลือเชื่อดั่งละครทั้งหมดนี้ก็ได้เกิดขึ้นจริงกับชีวิตของนักแสดงสาว "ปูเป้ อรหทัย ซื่อศรีสวัสดิ์" วินาทีแรกที่เธอรู้ความจริงใครเป็น "แม่ผู้ให้กำเนิด" จะเป็นอย่างไรและเธอตัดสินใจอย่างไรกับความลับที่ถูกปกปิดมากว่า 38 ปี ติดตามได้กับการเปิดใจสัมภาษณ์ครั้งแรกกับทีมข่าว Sanook! News
จิตใต้สำนึกสั่งตามหาแม่
"แรกเริ่มเป้ก็โตมาหน้าตาออกฝรั่งนิดๆ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงเป้มากับหน้าตาหน้าไทยมาก แต่ตั้งแต่เด็กเป้รู้ตัวมาตลอดว่าเราต้องไม่ใช่ลูกของแม่แน่ๆ แต่เป็นลูกของพ่อเพราะว่าหน้าตาเป้มีส่วนที่คล้ายพ่อ แต่กับแม่เราไม่เหมือนเลย แต่ก็เลือกจะไม่ถามเพราะท่านทั้งสองคนเขาเลี้ยงเรามาดีมาก เราก็พยายามมองข้ามไป
แต่เราก็แอบคิดว่าไม่ใช่แม่จริงๆ แล้วแม่จริงๆ เราคือใคร แต่ก็ช่างเถอะแม่เขาเลี้ยงเรามาดีให้ความอบอุ่น แม่จริงๆ เขาคงไม่รักเรา เขาคงเกลียดเรา เราก็คงเป็นแค่ส่วนเกินของเขา ฉะนั้นเราก็จะไม่สนใจเขาเลยไม่ว่าฉันจะได้ดีแค่ไหน ฉันจะไม่สนใจคุณเด็ดขาด ฉันจะลืมไปว่าฉันเคยมีแม่"
ปูเป้เล่าต่อไปว่าตลอดเวลาเธอเชื่อเสมอว่าแม่ที่แท้จริงของเธอนั้นเป็นฝรั่ง จนกระทั่งบังเอิญได้ไปเข้าคลาสทางจิตวิทยาจึงทำให้เธอได้พบคำตอบเรื่องปมในใจตัวเอง
"เป้คิดในใจเสมอว่าแม่เป้เป็นฝรั่ง แต่จะโกรธมากเวลาเพื่อนๆ ล้อว่าเด็กฝรั่งเก็บมาเลี้ยง เพราะกลัวความจริงถ้าใช่แล้วเขาจะรักเราไม่เหมือนเดิม จนชีวิตก็ดำเนินมาจนอายุ 30 กว่าก็ไม่เคยถามพ่อแม่บุญธรรมซักครั้ง จนบังเอิญเป้ได้มีโอกาสคลาสที่เขาให้เรามองย้อนเขาไปในตัวเองตั้งแต่เด็กๆ และปรากฏว่าในคลาสๆ นั้น
เป้กลับไปเห็นตัวเองตอนเด็กว่ามีแม่อุ้มเราอยู่ แม่คนนั้นก็รักเรามากและปรากฏว่าแม่คนนั้นไม่ใช่ฝรั่ง เป้มองว่ามันคงเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาและเราก็มีเรื่องปมเรื่องนี้ในใจมาตลอด แล้วที่นี้พอไม่ใช่ฝรั่งก็งงแล้วมันคืออะไรแม่ไม่ใช่ฝรั่งแล้วเราฝรั่งได้ไง พ่อก็ไม่ใช่งงไปหมด"
เมื่อปูเป้มีความเชื่อว่ากระบวนการทางจิตวิทยาได้คลายปมในใจของเธอแล้วนั้น เธอจึงตัดสินใจถามความจริงกับพ่อแม่บุญธรรมจนได้คำตอบที่ทำให้ชีวิตของเธอต้องพลิกผัน
"เป้ตัดสินใจอยู่ 2-3 วันและก็ถามพ่อกับแม่บุญธรรม แต่ถามเขาๆ ก็ไม่บอกและก็ร้องไห้ จนผ่านไปไม่กี่วันแม่บุญธรรมตัดสินใจส่งข้อความมาบอก ถ้าอยากรู้ให้ไปตามหาพร้อมกับให้ชื่อญาติคนนึงและญาติคนนี้คือคนที่รู้เรื่องราวทั้งหมด เป้ก็เลยตัดสินใจขับรถไปหาญาติคนนี้ที่สุพรรณ เพื่อที่จะให้ไปตามหาแม่
และญาติก็เล่าให้ฟังว่าจริงๆ แล้วตอนเด็กๆ แม่เป้ท้องตั้งแต่เด็กประมาณ 18-19 และเขาไม่มีวุฒิภาวะที่จะเลี้ยงเราได้ แต่สิ่งที่เขาทำให้เราได้คือเลือกคนที่ดีที่สุดที่จะมาเลี้ยงเรา เราก็เลยเข้าใจว่าแม่เขาไม่ได้เกลียดเราเลย พอมองย้อนกลับไปสามสิบกว่าปีเราเกลียดเขามาตลอด คิดว่าเขาต้องไม่รักเราถึงทิ้งเราไป แต่จริงๆ แล้วเขารักเราต่างหากถึงให้พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยง"
วินาทีเจอหน้าแม่ตัวจริงครั้งแรก
"ระหว่างทางขับรถไปญาติคนนี้ก็เล่าให้ฟังว่าแม่เป้เป็นแม่บ้านทำความสะอาดอยู่ที่โรงแรม เป็นโรงแรมธรรมดาๆ วินาทีนั้นเป้อึ้งเลย ความคิดเราประมวลออกมาเราเป็นดาราขับรถดี เรานอนสบาย แต่แม่ต้องทำงานทำความสะอาด 30 กว่าปี (เสียงสั่นน้ำตาคลอ) ฟังแล้วก็ร้องไห้จนไปถึงบ้านแม่เป็นบ้านไม้เก่าๆ ที่อาศัยอยู่กับญาติ เป้ตกใจมากเพราะว่าสภาพเขาไม่ได้เหมือนอย่างที่เราคิด"
"แม่อยู่ในสภาพหลังค่อมๆ และก็ค่อนข้างโทรมไม่ค่อยแข็งแรง ก็ได้เข้าไปขอโทษเขาบอกว่าแม่หนูขอโทษ หนูเพิ่งรู้เมื่อสองสามวันก่อน หนูก็ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่ลำบาก แม่ต้องอยู่สภาพอย่างนี้ แม่เขาก็ดูงงๆ เพราะเขาไม่คิดว่าลูกได้ดิบได้แล้วจะกลับมาหาเขา ก็ได้เข้าไปกอดเขาและก็มองหน้าเขาจับมือเขา เพราะเราไม่เคยรู้ว่าเรามาจากไหนมันเป็นความรู้สึกของคนไม่มีแม่มาตลอดชีวิต"
หลังจากได้เจอกับคุณแม่ตัวจริงแล้ว ปูเป้ เล่าต่อไปอีกว่าเธอยังต้องพบกับเรื่องราวแสนเจ็บปวดเพราะไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องราวเช่นนี้กับชีวิตของเธอ
"เป้ร้องไห้น้ำตาพรั่งพรูมาก ความรู้สึกมันแย่ที่รู้ว่าแม่ทำงานค่าแรงวันละสามร้อยบาท ต่างจากเราที่กินดีอยู่ดี มันคิดขึ้นมาว่าเราไปทำอะไรอยู่ไหนตั้งนาน แม่เป้ทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดโรงแรมมาตั้งแต่สาวๆ เวลาไปทำงานก็จะเอาเป้มาฝากพวกบ้านญาติๆ ใส่ตะกร้าไว้ แล้วเมีญาติที่ค่อนข้างมีฐานะมาเจอ ก็เลยขอและเอามาให้พ่อแม่บุญธรรมเป้เลี้ยงดูเพราะเขาไม่มีลูก ซึ่งเวลาแม่แท้ๆ อยากเจอเป้เขาจะเข้าไปในเซเว่นไปซื้อหนังสือตอนที่เป้เล่นละคร"
"ถ่ายแบบมาเก็บ และก็ไม่กล้าให้ใครดูเพราะไม่อยากบอกใครว่าเป็นแม่ของนักแสดงคนนี้ แม่อาจจะกลัวลูกอายลูกเขินในความรู้สึกเป้นะ แต่เป้ถามถึงพ่อปรากฏว่าพ่อเป็นทหารออสเตรเลียมาเจอกับคุณแม่ที่เมืองไทยตอนสมัยคุณแม่ยังสาวๆ และที่นี้พ่อก็กลับประเทศไปโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ท้องเป้ ซึ่งพอเรารู้เรื่องทั้งหมดคือมันสุดๆ ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นจริงกับชีวิตของเรา นี่ละครหรือเปล่า เราเป็นดาวพระศุกร์หรอ"
ขอดูแลชีวิตผู้มีพระคุณทั้งสามชีวิต
"เหตุการณ์นี้ผ่านมาสองเดือนหลังจากที่เจอแม่เป้ก็พยายามเข้าหาแม่มากขึ้นพยายามพาเขาไปกินข้าว พาไปวัด นัดเจอกันทุกอาทิตย์ ให้เงินเดือนและขอให้แม่ออกจากงานมาอยู่กับเป้เลย แต่แม่ยังไม่ยอมออกแม่บอกอยากทำงานไว้ซักอายุ 60 ก่อนแล้วจะมาอยู่ด้วย แต่ที่นี้ด้านพ่อแม่บุญธรรมก็เริ่มมีความน้อยใจมีไม่พูดด้วยไปประมาณ 2-3 วันไม่ยอมพูดเลย เวลาเป้กลับบ้านก็พยายามทำอะไรที่โอเว่อร์กว่าเดิม อะไรที่ทำดีอยู่แล้วก็ทำให้เขารู้สึกเรายังเหมือนเดิมจนตอนนี้เขาก็โอเคมากขึ้น
ส่วนคุณแม่บุญธรรมก็มีงอนเขาเลี้ยงมากับมือสามสิบกว่าปี เป้ก็เลยต้องบอกเขาว่าอย่างอนหนูเลย แม่งอนหนูเหมือนคนอกหักก็ไม่รู้จะพูดกับใครจะปรึกษาใครเพราะทุกวันนี้มีแต่แม่ให้คำปรึกษาตอนนี้ตัวเองก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกันช่วงสองเดือนที่ผ่านมา ก็คงต้องเอาเขามาอยู่ด้วยแน่นอน ใจเป้คิดว่าจะให้อยู่ด้วยกันทั้งสามคนเลย แต่มันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปเป้ในฐานะลูกก็จะดูแลทั้งสามคนให้ดีที่สุด"
และนี่ก็เป็นเรื่องราวชีวิตจริงที่ยิ่งกว่าละครของ "ปูเป้ อรหทัย" ที่เธอมองว่าแม้ว่าแม่จะไม่ได้เลี้ยงดูแต่แม่ก็คือผู้ให้กำเนิด และยังเป็นความโชคดีของชีวิตที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้นในฐานะลูกก็ต้องตอบแทนพระคุณ