
5 วิธีกินปลาร้า อย่างไรให้อร่อยได้รสชาติ แต่ยังปลอดภัยต่อสุขภาพ
“ปลาร้า” เป็นอีกหนึ่งอาหารของไทยที่มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์และยากจะหาอาหารอื่นๆ มาทดแทนได้ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายอย่าง และหลายคนเมื่อได้ลิ้มลองก็จะติดใจจนไม่อาจหยุดกินได้
แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าปลาร้าอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ เนื่องมาจากกระบวนการในการผลิตในบางพื้นที่ รวมถึงรสเค็มจัดของปลาร้ายังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคไต
วิธีผลิตปลาร้าที่ถูกสุขอนามัย
กรมอนามัย มีข้อแนะนำผู้บริโภคโดยต้องเลือกซื้อปลาร้าจากแหล่งผลิตที่มีกระบวนการผลิตที่ถูกต้อง รวมถึงใครที่อยากทำปลาร้าเก็บเอาไว้กินเอง ดังนี้
ประโยชน์ และคุณค่าทางสารอาหารของปลาร้า
ปลาร้าดิบปริมาณ 100 กรัม มีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนี้
- พลังงาน 148 กิโลแคลอรี
- โปรตีน 15.30 กรัม
- ไขมัน 8 กรัม
- คาร์โบไฮเดรต 3.90 กรัม
- เหล็ก 3.40 กรัม
- วิตามินบี 1 0.02 กรัม
- วิตามินบี 2 0.16 กรัม
- ไนอะซิน 0.80 กรัม
อันตราย และข้อควรระวังในการกินปลาร้า
ปลาร้า จัดว่าเป็นอาหารที่มีโภชนาการสูง เพราะปลาร้า คือแหล่งโปรตีนชั้นดีเมื่อเทียบเท่ากับเนื้อสัตว์อื่นๆ มีวิตามินแร่ธาตุหลายชนิด และยังเป็นแหล่งของโพรไบโอติกส์อีกด้วย แต่ควรกินในปริมาณที่เหมาะสม
ปลาร้าต่วงที่มาจากทั้งโรงงาน และตลาดปริมาณรวมโซเดียมของเกลือและผงชูรสใกล้เคียงกัน โดยปลาต่วงของโรงงานจะมีโซเดียม 5,057 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และจากตลาดจะมีโซเดียม 5,145 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ปลาร้าส้มตำปรุงสำเร็จที่นิยมนำมาปรุงอาหาร มีโซเดียม 5,647 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะที่ปลาร้าสับแจ่วบอง มีโซเดียม 5,791 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม
ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ว่าใน 1 วัน ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัม หรือเทียบเท่าเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 กรัม หรือเฉลี่ยไม่เกิน 600 มิลลิกรัมต่อมื้ออาหาร ดังนั้น ปลาร้าไม่ควรบริโภคมากกว่า 2 ช้อนโต๊ะต่อวัน หากบริโภคเป็นประจำ หรือมากเกินไป ส่งผลให้เกิดโรคต่างๆ ตามมาได้ เช่น โรคหัวใจล้มเหลว หลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคไตเรื้อรัง