รู้จัก "เตามหาเศรษฐี" อุปกรณ์ก่อไฟอีกตัวเลือกในยุคก๊าซหุงต้มขึ้นราคา
หลังจากน้ำมัน ก๊าซหุงต้มขึ้นราคา ส่งผลให้ประชาชน พ่อค้าแม่ค้าหันมาใช้เตาอั้งโล่ อีกทั้งตอนนี้กระทรวงพลังงานก็แนะนำ "เตามหาเศรษฐี" เตาหุงต้มประสิทธิภาพสูง หรือ “เตาซุปเปอร์อั้งโล่” ช่วยประหยัดในยุคที่ก๊าซหุงต้มแพงให้กับประชาชน หลายๆ คนอาจยังไม่รู้จักเตามหาเศรษฐีซึ่งถูกพัฒนามาจากเตาอั้งโล่ อุปกรณ์ก่อไฟที่หลายๆ คนรู้จักมาตั้งแต่วัยเด็ก เราจึงอยากแนะนำให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับเตามหาเศรษฐีที่อาจจะเป็นตัวช่วยในช่วงเชื้อเพลิงทุกชนิดถีบราคาสูงขึ้น
- เตรียมตัวก่อไฟ! กระทรวงพลังงาน แนะใช้ "เตามหาเศรษฐี" ลดการใช้แก๊ส LPG
- เสียงจากร้านอาหาร เมินใช้ "เตามหาเศรษฐี" ชี้คุมความร้อนยาก ลั่นนี่ไม่ใช่ยุคเก่านะ
เตามหาเศรษฐีนั้นถูกพัฒนามาจากเตาอั้งโล่ โดยเตามหาเศรษฐีนั้นมีความทนทานมากขึ้น จุดไฟติดเร็วขึ้น ไม่มีควันและแก๊สพิษที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ หุงต้มสุกเร็ว เก็บความร้อนได้นาน อีกทั้งยังสามารถวางหม้อหรือภาชนะประกอบอาหารได้หลายขนาด ช่วยประหยัดฟืน และถ่านได้มากกว่า เตาอั้งโล่ธรรมดาถึง 25-30% ลักษณะที่ถูกพัฒนามานั้นทำให้มีความเพรียว และน้ำหนักเบากว่า ให้ความร้อนสูงถึง 1,000-1,200 องศาเซลเซียส แถมยังช่วยประหยัดถ่านกว่าเตาอั้งโล่แบบเดิมได้ถึง 30-40 %
รู้จักเตาอั้งโล่ในอดีต
ส่วนเตาอั้งโล่ที่เป็นอุปกรณ์ก่อไฟให้ความร้อนเพื่อการหุงต้มอาหารในอดีตนั้น มีรูปทรงคล้ายถัง ลักษณะปากกลม ผายออกเล็กน้อย ก้นสอบ ผนังเตาหนาประมาณ 2 นิ้วด้านหน้าเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยม พื้นเตาเป็นช่องให้อากาศเข้าหรือใช้พัดโบกให้ลมเข้าไปเพื่อเร่งไฟ
ปากเตาทำเป็นจมูกเตาสำหรับวางก้นหม้อ 3 ปุ่มสูงขึ้นจากปากเตาเล็กน้อยเพื่อยกก้นภาชนะให้พ้นปากเตาและเป็นการระบายอากาศ ภายในเตาระหว่างปากเตากับก้นเตามีรังผึ้งหรือตะกรับทำจากดินเผาเป็นแผ่นกลม เจาะรูเรียงกันเป็นวงเหมือนรังผึ้ง เพื่อให้ขี้เถ้าร่วงลงไปยังก้นเตา และทำให้อากาศถ่ายเทด้วย เชื่อกันว่านำมาจากประเทศจีน เนื่องจากคำว่า "อั้งโล่" มาจากภาษาแต้จิ๋ว แปลว่าเตาสีแดงซึ่งเป็นสีของดินเผา ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ามีการนำมาใช้ในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด สันนิษฐานว่าอาจจะมีการนำเข้ามาเมื่อราว 100 ปีมาแล้ว
เนื่องจากมีการค้าขายเริ่มแรกระหว่างประเทศไทย-จีน หรืออีกนัยหนึ่ง อาจจะมีการนำเข้ามาเมื่อตอนชาวจีนพวกหนึ่งอพยพเข้ามาในประเทศไทย เนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองในช่วงราว 100 ปีมาแล้ว
แม้จะมีการสันนิษฐานว่ามีการนำเข้าเตาอั้งโล่มาจากประเทศจีนก็ตาม แต่ชุมชนต่างๆ ในไทยก็สามารถผลิตเตาอั้งโล่เพื่อใช้เองในครัวเรือนได้ เนื่องจากมีความนิยมใช้ค่อนข้างมาก จึงค่อยมีการริเริ่มทำเลียนแบบและพัฒนาจนสามารถทำเองได้ในที่สุด
ขั้นตอนการผลิตเตาอั้งโล่นั้นเริ่มจากการหาดินเหนียวตามท้องนาเนื่องจากเป็นดินที่มีคุณภาพ ง่ายต่อการขึ้นรูป ไม่แตกร้าวหลังการเผา จากนั้นนำมาตากแดดให้แห้งประมาณ 2 วัน แล้วจึงนำดินเหนียวไปหมักในบ่อดินเพื่อให้ดินผสมผสานเข้าเป็นเนื้อเดียวกันและคัดแยกเศษไม้เศษหินออกมาไม่ให้ปะปนในเนื้อดิน แช่ดินทิ้งไว้ในบ่อประมาณ 1 คืน หลังจากนั้นนำดินขึ้นมาสะเด็ดน้ำให้แห้งพอหมาดๆ ผสมขี้เถ้า แกลบดำ ในอัตราขี้เถ้าแกลบดำ 1 ส่วน ดิน 2 ส่วน ใช้เท้าย่ำให้เข้ากันประมาณ 3 ชั่วโมง แกลบดำจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันไม่ให้ความร้อนกระจายออกจากตัวเตา
หลังจากนั้นนำดินไปปั้นขึ้นรูปเป็นเตาสู่แม่พิมพ์ตามขนาดที่เตรียมไว้ ใช้มือตบปั้นดินให้ขึ้นรูปเป็นทรงเตา ตกแต่งผิวดินด้านในที่ใช้เป็นห้องสำหรับวางรังผึ้ง หลังจากนั้นอัดทับด้วยแม่พิมพ์ภายใน เพื่อขึ้นรูปเป็นปากเตาและนมเตา เมื่อได้เตาตามขนาดที่ต้องการแล้วจึงคว่ำเอาเตาออกมาจากแม่พิมพ์แล้วนำไปผึ่งลมให้แห้งประมาณ 1-2 วันก่อนจะนำกลับมาตกแต่งปากเตาและนมเตา พร้อมกับเจาะช่องลมแล้วจึงนำไปผึ่งลมและตากแดดจนเตาแห้งสนิท ใช้เวลาประมาณ 2 วัน จากนั้นจึงนำมาเรียงในชั้นเตาเผา ใช้เวลาในการเผา 10 ชั่วโมง รอให้เตาเย็นแล้วจึงนำออกมาบรรจุลงในถังสังกะสีเฉพาะที่ใช้ทำเตา ใช้ดินเหนียวผสมขี้เถ้าแกลบยาขอบเตาให้แน่นในอัตราดิน 1 ส่วน ขี้เถ้าแกลบ 10 ส่วน เพื่อไม่ให้เตาเสียหายง่ายเวลาใช้งาน
ในส่วนรังผึ้งนั้นทำจากดินเหนียวที่ใช้ทำเตามานวดผสมกับขี้เถ้าแกลบดำมากกว่าส่วนผสมที่ใช้ทำเตา เมื่อนวดจนได้ที่แล้วก็นำดินใส่ลงไปในพิมพ์ กดดินให้เต็มแม่พิมพ์ ปาดเอาดินส่วนเกินออกจากแม่พิมพ์ทิ้งไว้จนแห้งประมาณ 2-3 วัน แล้วนำแม่แบบมาเจาะรูก่อนที่จะผึ่งลมทิ้งไว้อีก 2-3 วัน จึงนำไปเผาจนสุก แล้วจึงนำไปใส่ในเตาตรงระดับที่กำหนดไว้ ใช้ดินเหนียวผสมขี้เถ้าแกลบในอัตราดิน 1 ส่วน ขี้เถ้า 5 ส่วน ยาภายในเตารอบบริเวณที่รังผึ้งสัมผัสกับผนังเตา ทำทั้งด้านบนและด้านล่างก็จะได้เตาอั้งโล่พร้อมใช้งาน
ในอดีต เตาอั้งโล่เป็นที่นิยมเนื่องจากมีความทนทานในการใช้งานและยังสะดวกเนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่มาก สามารถพกพาไปได้ ถึงแม้ในปัจจุบันจะมีการใช้เตาแก๊สแล้วก็ตาม แต่เตาอั้งโล่ก็ยังคงมีการใช้งานอยู่เนื่องจากหลายคนเชื่อว่าการใช้เตาอั้งโล่ประกอบอาหารนั้นจะทำให้อาหารมีรสชาติที่ดีกว่าการใช้เตาแก๊ส รวมถึงการใช้งานในด้านอื่นๆ เช่นนำไปใช้สำหรับก่อไฟให้ความอบอุ่นบนยอดเขายอดดอย ทำให้ในปัจจุบัน มีการพัฒนาเตาอั้งโล่มาเป็นเตาซูเปอร์อั้งโล่ที่มีประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ดีกว่าเตาอั้งโล่มาใช้งานแทน