
ทำความรู้จักส้มโอ ผลไม้มากประโยชน์ และข้อควรระวัง
ส้มโอมีประโยชน์เด่นทั้งรสชาติอร่อยหวานอมเปรี้ยวและคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพ
ส้มโอคืออะไร
ส้มโอ (Pomelo, Citrus maxima) เป็นผลไม้ในตระกูลส้มขนาดใหญ่ มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผลกลมโต เปลือกหนา เนื้อภายในมีหลากหลายสี เช่น สีขาว เหลือง ชมพู หรือแดง รสชาติหวานอมเปรี้ยว กรอบฉ่ำน้ำ เป็นที่นิยมทั้งรับประทานสดและแปรรูปเป็นขนมหรือของหวาน
ประโยชน์ของส้มโอ
- อุดมด้วยวิตามินซีสูง
ส้มโอ ประโยชน์สำคัญคือการช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันจากวิตามินซีที่มีในปริมาณสูง ช่วยป้องกันหวัด ต้านเชื้อโรค และส่งเสริมการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว - ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความเสื่อมของเซลล์
ส้มโอมีสารแอนโธไซยานิน ฟลาโวนอยด์ และวิตามินซี ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากอนุมูลอิสระ ชะลอวัย ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังต่าง ๆ - บำรุงหัวใจ ลดไขมันในเลือด
ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด - ควบคุมน้ำหนักและระบบขับถ่าย
ไฟเบอร์ในส้มโอ มีประโยชน์ช่วยเพิ่มความอิ่ม ลดความอยากอาหาร ส่งเสริมระบบขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้น ลดปัญหาท้องผูก - ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ส้มโอ มีประโยชน์ในการช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาล ลดความผันผวนของระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมระดับน้ำตาล
วิธีเลือกรับประทานส้มโอให้ได้ประโยชน์สูงสุด
เลือกผลที่สุกพอดี
- เปลือกเรียบแน่น สีเขียวอมเหลือง ไม่ช้ำ
- กดดูเนื้อในแน่น ไม่นิ่มจนเกินไป
กินสดดีที่สุด
- กินแบบสดช่วยรักษาวิตามินซีไว้ได้มากที่สุด
- หลีกเลี่ยงการแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง เช่น แช่อิ่มหรือเชื่อม
ปริมาณที่เหมาะสม
- กินวันละ 1/4-1/2 ผล (ประมาณ 150-300 กรัม)
- ควรระวังในผู้ป่วยโรคไต เนื่องจากมีโพแทสเซียมค่อนข้างสูง หากกินมากเกินไปอาจสะสมในร่างกายเกินความจำเป็น
ข้อควรระวังในการกินส้มโอ
- ประโยชน์ของส้มโอแม้มีมาก แต่ควรระวังในผู้ที่ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไขมัน (Statins) หรือยาละลายลิ่มเลือด เพราะอาจเกิดปฏิกิริยากับสารในส้มโอ
- หากมีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคเป็นประจำ
ส้มโอมีประโยชน์ครบทุกด้าน ทั้งเสริมภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดไขมันในเลือด ต้านอนุมูลอิสระ ดูแลระบบขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนัก ถือเป็นผลไม้ไทยที่ดีต่อสุขภาพและควรมีติดบ้าน