เนื้อหาในหมวด สุขภาพ

หูเรารับได้กี่เดซิเบล? ทำความเข้าใจขีดจำกัดและอันตรายของเสียง

หูเรารับได้กี่เดซิเบล? ทำความเข้าใจขีดจำกัดและอันตรายของเสียง

ในชีวิตประจำวันของเราต้องเผชิญกับเสียงมากมายรอบตัว ตั้งแต่เสียงพูดคุย เสียงดนตรี ไปจนถึงเสียงเครื่องจักร เสียงเหล่านี้มีความดังที่แตกต่างกัน และมีหน่วยวัดคือ "เดซิเบล" (dB) การเข้าใจว่าหูของเรารับเสียงได้ในระดับความดังเท่าใด และระดับใดที่เริ่มเป็นอันตราย ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสุขภาพการได้ยินของเรา

หูเรารับได้กี่เดซิเบล? ความดังแค่ไหนถึงอันตราย

โดยทั่วไปแล้ว หูของคนเราสามารถได้ยินเสียงที่ระดับความดังตั้งแต่ 0 เดซิเบล (dB) ไปจนถึงประมาณ 120-140 เดซิเบล (dB) ซึ่งเป็นระดับที่เริ่มก่อให้เกิดความเจ็บปวดและอันตรายต่อการได้ยินอย่างถาวร

  • 0 dB: เป็นระดับเสียงที่เบาที่สุดที่มนุษย์สามารถได้ยิน (Threshold of hearing) เช่น เสียงใบไม้ไหวเบาๆ
  • 20-30 dB: เสียงกระซิบเบาๆ, เสียงนาฬิกาเดิน
  • 40-50 dB: เสียงพูดคุยปกติในบ้าน, เสียงฝนตกปรอยๆ
  • 60-70 dB: เสียงพูดคุยในสำนักงาน, เสียงเครื่องปรับอากาศ
  • 80-85 dB: เสียงรถติดบนถนนที่จอแจ, เสียงเครื่องดูดฝุ่น (ระดับนี้เริ่มเป็นระดับที่ควรระมัดระวังหากต้องรับฟังเป็นเวลานาน)
  • 90-100 dB: เสียงรถไฟใต้ดิน, เสียงเครื่องตัดหญ้า, เสียงดนตรีในผับ/คอนเสิร์ต
  • 120 dB: เสียงเครื่องบินเจ็ตกำลังขึ้น, เสียงฟ้าผ่า, เสียงพลุ (ระดับนี้เป็นระดับที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดทันที)
  • 140 dB ขึ้นไป: เสียงปืน, เสียงระเบิด (อาจทำให้แก้วหูฉีกขาดได้ทันที)

ระดับเสียงที่เป็นอันตรายต่อการได้ยิน

สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ ไม่ใช่แค่ความดังของเสียงเท่านั้นที่เป็นปัจจัยกำหนดอันตราย ระยะเวลาในการรับฟังเสียงนั้นๆ ก็มีผลอย่างมาก

  • 85 เดซิเบล: หากต้องสัมผัสกับเสียงที่ระดับความดังนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 8 ชั่วโมงขึ้นไป อาจเริ่มทำให้เซลล์ขนในหูชั้นในเสียหายได้
  • 90 เดซิเบล: ไม่ควรรับฟังต่อเนื่องเกิน 4 ชั่วโมง
  • 100 เดซิเบล: ไม่ควรรับฟังต่อเนื่องเกิน 15 นาที
  • 110 เดซิเบล: ไม่ควรรับฟังต่อเนื่องเกิน 1 นาที
  • 120 เดซิเบลขึ้นไป: ก่อให้เกิดความเสียหายทันที และสามารถทำให้สูญเสียการได้ยินถาวรได้ในเวลาอันสั้น แม้เพียงไม่กี่วินาที

ผลกระทบจากการรับฟังเสียงดังเกินไป:

  • หูอื้อ/หูตึง: อาการชั่วคราวหลังจากการสัมผัสเสียงดัง
  • สูญเสียการได้ยินถาวร (Noise-Induced Hearing Loss): เกิดจากการที่เซลล์ขนในหูชั้นในถูกทำลายอย่างถาวร ทำให้การได้ยินลดลง หรือไม่ได้ยินเลย
  • หูมีเสียงดังในหู (Tinnitus): ได้ยินเสียงหวีด หึ่ง หรือเสียงอื่นๆ ในหู ทั้งๆ ที่ไม่มีเสียงจากภายนอก
  • เวียนศีรษะ: ในบางกรณีอาจเกิดอาการเวียนศีรษะร่วมด้วย

วิธีป้องกันอันตรายจากการได้ยิน

  • ลดระดับความดัง: หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง ควรพยายามลดระดับความดังของเสียงลง
  • จำกัดระยะเวลา: หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเสียงดัง ควรจำกัดระยะเวลาในการสัมผัส
  • ใช้อุปกรณ์ป้องกัน:
    • ที่อุดหู (Earplugs): เหมาะสำหรับเสียงดังปานกลางถึงมาก
    • ที่ครอบหู (Earmuffs): เหมาะสำหรับเสียงที่ดังมาก หรือเสียงที่มีความถี่สูง
  • หลีกเลี่ยงเสียงดัง: พยายามหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเสียงดังมากเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่จำเป็น
  • ใช้หูฟังอย่างระมัดระวัง: หากใช้หูฟัง ควรตั้งระดับเสียงไม่เกิน 60% ของระดับสูงสุด และไม่ควรฟังต่อเนื่องเป็นเวลานานเกิน 60 นาที ควรพักเป็นระยะๆ
  • ตรวจการได้ยินเป็นประจำ: หากทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดัง หรือรู้สึกว่าการได้ยินมีปัญหา ควรเข้ารับการตรวจการได้ยินจากแพทย์
  • การได้ยินเป็นสิ่งล้ำค่าที่เราควรดูแลรักษา การทำความเข้าใจขีดจำกัดของหูเรา และตระหนักถึงอันตรายจากเสียงดัง เป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันภาวะสูญเสียการได้ยินที่อาจเกิดขึ้นได้ การปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันเสียงดัง จะช่วยให้เรามีสุขภาพการได้ยินที่ดีไปได้นานเท่านาน

    อ่านเพิ่ม