เนื้อหาในหมวด สุขภาพ

ทำไมจู่ ๆ ถึงแพ้อาหาร เอาตอนโต ทั้งที่ตอนเด็กไม่เคยแพ้?

ทำไมจู่ ๆ ถึงแพ้อาหาร เอาตอนโต ทั้งที่ตอนเด็กไม่เคยแพ้?

คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมจู่ ๆ ก็แพ้อาหารบางชนิดตอนโต ทั้งที่ตอนเด็กไม่เคยมีอาการแพ้เลย? ปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงและคค่อนข้างพบบ่อย แม้ว่าคนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงอาการแพ้อาหารที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก แต่การแพ้อาหารในผู้ใหญ่ หรือที่เรียกว่า "Adult-Onset Food Allergy" กำลังเป็นที่จับตามองมากขึ้น บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยว่าทำไมร่างกายถึงเกิดปฏิกิริยาต่ออาหารที่ไม่เคยแพ้มาก่อน พร้อมเจาะลึกถึงสาเหตุและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการแพ้อาหารเมื่อโตขึ้น

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพ้อาหารตอนโต

การที่ร่างกายเกิดปฏิกิริยาแพ้อาหารขึ้นมาใหม่ในวัยผู้ใหญ่ เป็นผลมาจากปัจจัยที่ซับซ้อนและหลายอย่างมารวมกัน ซึ่งแตกต่างจากการแพ้ในเด็กที่มักจะหายไปเมื่อโตขึ้น นี่คือสาเหตุและปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้คุณแพ้อาหารตอนโต:

  • การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน: ระบบภูมิคุ้มกันของเรามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามอายุ การเจ็บป่วย หรือการได้รับสารกระตุ้นต่างๆ บางครั้งระบบภูมิคุ้มกันอาจเข้าใจผิดว่าโปรตีนในอาหารบางชนิดเป็นภัยคุกคาม จึงผลิตภูมิต้านทาน (Antibodies) ชนิด IgE ออกมาต่อต้าน ทำให้เกิดอาการแพ้ขึ้นเมื่อได้รับอาหารนั้นอีกครั้ง
  • การสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในรูปแบบใหม่: บางครั้งเราอาจไม่เคยแพ้อาหารบางชนิดมาก่อน เพราะไม่เคยได้รับในปริมาณมากพอ หรือไม่เคยได้รับในรูปแบบที่กระตุ้นภูมิคุ้มกัน เช่น การรับประทานอาหารดิบ หรืออาหารที่ผ่านกระบวนการปรุงที่แตกต่างไปจากเดิม
  • ภาวะ Cross-Reactivity (แพ้ข้ามชนิด): นี่เป็นสาเหตุที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้ละอองเกสรดอกไม้ ผู้ที่มีอาการแพ้ละอองเกสรบางชนิดอาจมีปฏิกิริยาแพ้ต่อโปรตีนในผลไม้ ผัก หรือถั่วบางชนิดที่มีโครงสร้างคล้ายกันได้ เช่น ผู้ที่แพ้ละอองเกสรต้นเบิร์ช อาจแพ้แอปเปิล ลูกพีช หรือเฮเซลนัทได้
  • การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome): ระบบทางเดินอาหารมีบทบาทสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน การเปลี่ยนแปลงของสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ (Dysbiosis) ซึ่งอาจเกิดจากอาหาร ยาปฏิชีวนะ ความเครียด หรือการเจ็บป่วย อาจส่งผลให้ลำไส้มีความสามารถในการป้องกันสารก่อภูมิแพ้ลดลง ทำให้สารเหล่านั้นเข้าสู่กระแสเลือดและกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกันได้
  • โรคหรือภาวะสุขภาพบางอย่าง: บางโรค เช่น โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน หรือภาวะทางเดินอาหารบางชนิด อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดการแพ้อาหารตอนโตได้ นอกจากนี้ ภาวะภูมิแพ้อื่นๆ เช่น โรคหอบหืด หรือโรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (Eczema) ก็เพิ่มโอกาสในการเกิดการแพ้อาหารเช่นกัน
  • ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม: แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมก็มีส่วน การมีประวัติครอบครัวเป็นภูมิแพ้ หรือการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีสารก่อภูมิแพ้สูง อาจเป็นปัจจัยเสริม
  • การดื่มแอลกอฮอล์หรือออกกำลังกาย: ในบางกรณี การดื่มแอลกอฮอล์หรือการออกกำลังกายร่วมกับการกินอาหารบางชนิด อาจกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ได้ (Food-Dependent Exercise-Induced Anaphylaxis)

อาหารที่มักก่อให้เกิดการแพ้ในผู้ใหญ่ และสิ่งที่ควรทำหากสงสัยว่าแพ้อาหาร

อาหารที่พบบ่อยว่าเป็นสาเหตุของการแพ้อาหารในผู้ใหญ่ มักจะแตกต่างจากในเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่เกิดจากการแพ้ข้ามชนิดกับละอองเกสรดอกไม้ อาหารที่พบบ่อยได้แก่:

  • ถั่วเปลือกแข็ง: เช่น วอลนัท อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ พีแคน และเฮเซลนัท
  • ปลาและอาหารทะเล: เช่น กุ้ง ปู หอย ปลาชนิดต่างๆ
  • ถั่วลิสง: แม้จะพบในเด็กบ่อย แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถแพ้ขึ้นมาใหม่ได้
  • ผลไม้และผักบางชนิด: เช่น แอปเปิล เชอร์รี่ ลูกพีช กีวี่ ขึ้นฉ่ายฝรั่ง และแครอท (มักเกี่ยวข้องกับ Oral Allergy Syndrome)
  • งา: เป็นสารก่อภูมิแพ้ที่กำลังเพิ่มขึ้นในผู้ใหญ่

จะทำอย่างไรหากสงสัยว่าแพ้อาหาร?

หากคุณเริ่มมีอาการผิดปกติหลังจากรับประทานอาหารบางชนิด เช่น มีผื่นขึ้น คัน ปากบวม หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย หรือเวียนศีรษะ สิ่งสำคัญที่สุดคือ:

  • หยุดรับประทานอาหารต้องสงสัยทันที: หลีกเลี่ยงอาหารนั้นและอาหารในกลุ่มเดียวกัน
  • สังเกตอาการอย่างใกล้ชิด: หากอาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เวียนศีรษะมาก หรือหน้ามืด ให้รีบไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที เพราะอาจเป็นอาการแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
  • ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิแพ้: การวินิจฉัยตนเองอาจไม่ถูกต้อง แพทย์จะสามารถทำการทดสอบ เช่น การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง (Skin Prick Test) หรือการตรวจเลือดหาภูมิต้านทาน IgE เพื่อยืนยันว่าคุณแพ้อะไรและระดับความรุนแรงเป็นอย่างไร
  • การเข้าใจว่าทำไมจู่ๆ คุณถึงแพ้อาหารตอนโต จะช่วยให้คุณรับมือกับภาวะนี้ได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย อย่าละเลยสัญญาณเตือนของร่างกาย และควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอเพื่อการวินิจฉัยและการจัดการที่เหมาะสม

    อ่านเพิ่ม