
ทำไมกินแก้วมังกรสีแดง แล้วปัสสาวะเป็นสีแดง?
หลายคนอาจตกใจเมื่อพบว่าปัสสาวะของตนเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือสีแดงหลังจากกินผลไม้ชนิดหนึ่งอย่างแก้วมังกรสีแดง บทความนี้จะอธิบายว่าเกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่ และควรสังเกตอาการอย่างไร
แก้วมังกรสีแดงคืออะไร และมีสารอะไรเป็นพิเศษ
แก้วมังกรสีแดง หรือ Red Dragon Fruit เป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับกระบองเพชร มีเนื้อสีม่วงแดงสด รสชาติหวานอมเปรี้ยวอ่อน ๆ นอกจากความอร่อย ยังมีสารสำคัญชื่อเบตาไซยานิน (Betacyanin) ซึ่งเป็นสารเม็ดสีตามธรรมชาติในกลุ่มเดียวกับบีทรูท เป็นตัวที่ให้สีแดงแก่เนื้อของผลไม้ชนิดนี้ และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
ทำไมแก้วมังกรสีแดง ทำให้ปัสสาวะเปลี่ยนสี
สาเหตุที่ทำให้ปัสสาวะกลายเป็นสีแดงหรือชมพูหลังการกินแก้วมังกรสีแดง มักมาจาก
- การดูดซึมสารสีในร่างกาย: สารเบตาไซยานินในแก้วมังกรสีแดง บางส่วนจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด แล้วขับออกทางไตผ่านปัสสาวะ
- ร่างกายไม่ย่อยสีทั้งหมด: ในบางคนร่างกายไม่สามารถย่อยสารสีเหล่านี้ได้หมด จึงขับออกมาในลักษณะที่ยังมีสีอยู่
- ความเข้มข้นของผลไม้: ยิ่งกินเยอะหรือกินเนื้อที่เข้มมาก สีในปัสสาวะก็จะยิ่งชัด
ลักษณะนี้คล้ายกับการกินบีทรูทแล้วถ่ายหรือปัสสาวะออกเป็นสีแดง ซึ่งถือว่าเป็นอาการปกติในคนส่วนใหญ่
ปัสสาวะเปลี่ยนสีเพราะกินแก้วมังกรสีแดง อันตรายไหม?
โดยทั่วไป ไม่เป็นอันตราย และถือว่าเป็นปฏิกิริยาธรรมชาติของร่างกายกับสารสีที่พบในแก้วมังกรสีแดง แต่ควรสังเกตดังนี้:
- ไม่มีอาการอื่นร่วม: เช่น ปวดท้อง ปัสสาวะแสบ หรือไข้ หากไม่มีอาการเหล่านี้ สาเหตุน่าจะมาจากสีของอาหาร
- หายไปใน 1–2 ครั้ง: หากหยุดกินแล้วปัสสาวะกลับมาเป็นปกติภายใน 1–2 วัน แสดงว่าไม่ใช่ภาวะผิดปกติ
- แต่ถ้าสีแดงอยู่ต่อเนื่องแม้ไม่ได้กิน: อาจเป็นเลือดในปัสสาวะ ควรรีบพบแพทย์
วิธีบริโภคแก้วมังกรสีแดงอย่างปลอดภัย
- กินในปริมาณพอเหมาะ ไม่ควรกินมากเกินวันละ 1 ลูก
- ล้างเปลือกให้สะอาดก่อนปอก เนื่องจากเป็นผลไม้ที่ขึ้นอยู่ตามต้นไม้กลางแจ้ง
- หากมีโรคประจำตัว เช่น ไต หรือเบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนกินเป็นประจำ
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อช่วยให้สารสีในร่างกายถูกขับออกง่ายขึ้น
สรุป
ปัสสาวะที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดงหลังจากกินแก้วมังกรสีแดง มักเกิดจากสีธรรมชาติของเบตาไซยานินในผลไม้ และไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลในคนทั่วไป หากไม่มีอาการผิดปกติอื่นร่วมด้วย แต่หากปัสสาวะยังคงเปลี่ยนสีแม้ไม่ได้กิน หรือมีอาการร่วม ควรรีบพบแพทย์เพื่อเช็กว่ามีภาวะเลือดปนในปัสสาวะหรือไม่