6 สัญญาณเตือนอาการ "ขี้หูอุดตัน" ที่ทำให้การได้ยินของคุณแย่ลง
หลายคนอาจมองข้ามปัญหา "ขี้หูอุดตัน" เพราะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจส่งผลกระทบต่อการได้ยินและสุขภาพหูได้ การที่ขี้หูสะสมกันเป็นก้อนแข็งและไปปิดกั้นช่องหูเป็นเรื่องที่พบได้บ่อย บทความนี้จะสรุปสัญญาณเตือนสำคัญของขี้หูอุดตัน เพื่อให้คุณตระหนักและรีบหาทางแก้ไขก่อนที่ปัญหาจะลุกลาม
สัญญาณเตือนสำคัญของอาการ "ขี้หูอุดตัน"
หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรสงสัยว่าอาจมีภาวะขี้หูอุดตัน และควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
- การได้ยินลดลง เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดและสังเกตได้ชัดเจนที่สุด คุณจะรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างปิดกั้นในหู ทำให้การได้ยินไม่ชัดเจนเท่าปกติ อาจรู้สึกเหมือนเสียงอู้อี้หรือได้ยินไม่ถนัด
- รู้สึกเหมือนมีอะไรอุดตันในหู เป็นความรู้สึกที่ไม่สบายตัว รู้สึกว่าหูถูกอุดตันหรือเต็มอยู่ตลอดเวลา อาการนี้จะแย่ลงเมื่อคุณอยู่ในที่สูง เช่น บนเครื่องบิน หรือเมื่อไปว่ายน้ำ
- อาการปวดหูหรือรู้สึกไม่สบายในหู หากขี้หูแข็งตัวและสะสมมากเกินไป อาจไปกดทับเส้นประสาทในช่องหู ทำให้เกิดอาการปวดหูได้
- ได้ยินเสียงก้องในหู บางคนอาจได้ยินเสียงหึ่งๆ หรือเสียงวิ้งๆ ในหูตลอดเวลา ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่าหูอื้อ
- อาการวิงเวียนศีรษะ หากขี้หูอุดตันและไปกระทบกับหูชั้นใน ซึ่งมีส่วนควบคุมการทรงตัว อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะได้
- อาการคันในหูหรือมีของเหลวไหลออกมา ขี้หูที่อุดตันอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและคันในหู และในบางกรณีอาจมีของเหลวไหลออกมา ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อร่วมด้วย
ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกว่าขี้หูอุดตัน
สิ่งที่ไม่ควรทำ
- ห้ามใช้สำลีปั่นหู: การใช้สำลีปั่นหูจะยิ่งดันขี้หูเข้าไปลึกกว่าเดิม ทำให้ขี้หูอุดตันและเป็นก้อนแข็งมากขึ้น
- ห้ามใช้ของแข็งแคะหู: เช่น กิ๊บหนีบผม หรือไม้แคะหู เพราะอาจทำให้ช่องหูเกิดการบาดเจ็บหรือทะลุแก้วหูได้
สิ่งที่ควรทำ
- ใช้น้ำยาหยอดหู: สามารถซื้อน้ำยาหยอดหูเพื่อช่วยละลายขี้หูได้ตามร้านขายยา โดยควรปรึกษาเภสัชกรก่อนใช้
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: หากอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการปวดหูอย่างรุนแรง ควรไปพบแพทย์หู คอ จมูก เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยและทำการนำขี้หูออกอย่างถูกวิธี
ขี้หูอุดตันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลต่อการได้ยินและสุขภาพหูในระยะยาว การรู้จักสังเกตสัญญาณเตือนเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถดูแลสุขภาพหูได้อย่างทันท่วงที และเมื่อมีปัญหา ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ไม่ควรลองแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้