ผลเสียจากการ "ขยี้ตา" ภัยเงียบที่ทำร้ายดวงตา ที่คุณอาจไม่เคยรู้
8 ผลเสียร้ายแรง! การขยี้ตาบ่อย ทำลายดวงตาและเร่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
การขยี้ตาเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติเมื่อเรารู้สึกคัน ระคายเคือง หรือเมื่อยล้าดวงตา แต่หลายคนอาจมองข้ามว่าการกระทำนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย แท้จริงแล้ว การขยี้ตาบ่อยครั้งหรือรุนแรง สามารถสร้างความเสียหายร้ายแรงต่อสุขภาพดวงตาและผิวรอบดวงตาได้อย่างคาดไม่ถึง ตั้งแต่ปัญหาสุขภาพไปจนถึงความสวยงาม
ผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างดวงตา
การใช้แรงกดบนดวงตาซ้ำๆ เป็นประจำ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อโครงสร้างที่บอบบางของดวงตา ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะร้ายแรงที่ต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง
1. ทำลายกระจกตาและก่อให้เกิดโรคกระจกตาโป่งพอง (Keratoconus)
การขยี้ตาด้วยแรงที่มากเกินไปและต่อเนื่องในระยะยาว คือสาเหตุสำคัญของการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของกระจกตา กระจกตาอาจอ่อนแอลงและโป่งนูนออกมาคล้ายรูปกรวย ซึ่งเรียกว่าภาวะกระจกตาโป่งพอง ทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นอย่างรุนแรง เช่น สายตาเอียงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มองเห็นภาพบิดเบี้ยว และเป็นอันตรายต่อดวงตาในระยะยาว
2. เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
มือของเราเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและสิ่งสกปรก เมื่อเราขยี้ตา เชื้อโรคเหล่านั้นจะถูกถ่ายโอนเข้าสู่ดวงตาโดยตรง ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อที่ตาอย่างมาก เช่น ตาแดง เยื่อบุตาอักเสบ หรือแม้แต่การเกิดตากุ้งยิง ดังนั้นจึงควรระวังการขยี้ตาเมื่อมือไม่สะอาด
3. กระตุ้นอาการภูมิแพ้และระคายเคือง
แม้ว่าการขยี้ตาจะรู้สึกเหมือนเป็นการบรรเทาอาการคัน แต่ในความเป็นจริง การขยี้ตาจะไปกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันปล่อยสารฮิสตามีน (Histamine) ออกมามากขึ้น ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดอาการคันและบวมแดงแย่ลง และเข้าสู่วัฏจักรที่ต้องขยี้ตามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่จบสิ้น
4. ทำลายเส้นเลือดฝอยใต้เยื่อบุตา
แรงกดจากการขยี้ตาสามารถทำให้เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ ใต้เยื่อบุตาแตก ซึ่งส่งผลให้เกิด เลือดออกใต้เยื่อบุตา (Subconjunctival Hemorrhage) ทำให้ตาขาวมีรอยแดงเป็นปื้น แม้ว่าอาการนี้จะไม่อันตรายร้ายแรง แต่ก็อาจทำให้เสียบุคลิกภาพ และต้องใช้เวลาหลายวันกว่ารอยแดงจะหายไปเองตามธรรมชาติ
5. เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะต้อหิน (Glaucoma)
ในบางราย การขยี้ตาอย่างรุนแรงและบ่อยครั้ง อาจไปเพิ่มความดันลูกตาได้ชั่วคราว หากทำบ่อยครั้งอาจส่งผลกระทบต่อประสาทตาและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะต้อหิน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการตาบอดถาวรที่ควรต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
ผลเสียต่อความงามและผิวพรรณรอบดวงตา
นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาโดยตรงแล้ว การขยี้ตายังส่งผลต่อความสวยงามและเร่งให้เกิดปัญหาผิวพรรณรอบดวงตาอีกด้วย
6. ทำให้หนังตาหย่อนคล้อยและเกิดตาปรือ
การขยี้ตาซ้ำ ๆ เป็นประจำจะทำให้กล้ามเนื้อและเอ็นบริเวณที่ยกเปลือกตาบนอ่อนแอลงหรือยืดออก ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะ หนังตาหย่อนคล้อย (Ptosis) ทำให้ดวงตาดูเล็กลง ดูเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา หรืออาจบดบังการมองเห็นได้บางส่วน
7. เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย
ผิวหนังบริเวณรอบดวงตามีความบางมากและสร้างคอลลาเจนได้น้อย การถู ไถ หรือดึงผิวหนังซ้ำ ๆ ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพเร็วขึ้น เป็นการเร่งให้เกิด ริ้วรอยเหี่ยวย่นและตีนกา บริเวณหางตาได้อย่างชัดเจน
8. ทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา
การขยี้ตาทำให้เกิดการอักเสบและการไหลเวียนของเลือดบริเวณรอบดวงตาไม่สะดวก เมื่อเวลาผ่านไป ผิวหนังบริเวณนี้จะเกิดรอยคล้ำและคล้ำเสียได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมของใบหน้า ทำให้ดูไม่สดใส
วิธีบรรเทาอาการคันและเลิกนิสัยขยี้ตา
เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีในระยะยาว การหยุดนิสัยการขยี้ตาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ควรเปลี่ยนไปใช้วิธีบรรเทาอาการคันที่ถูกต้องแทน
- ประคบเย็น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเย็นประคบบริเวณดวงตาเบา ๆ เพื่อช่วยลดอาการคันและบวม
- ใช้ยาหยอดตา: หากมีอาการตาแห้งหรือระคายเคือง ให้ใช้น้ำตาเทียม หรือหากเกิดจากภูมิแพ้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อใช้ยาหยอดตาแก้แพ้
- ล้างมือให้สะอาด: หากจำเป็นต้องสัมผัสดวงตาจริง ๆ ให้มั่นใจว่าได้ล้างมือด้วยสบู่อย่างน้อย 20 วินาที เพื่อป้องกันเชื้อโรค
- พักสายตา: หากอาการคันเกิดจากความเมื่อยล้าจากการใช้สายตา ควรหยุดพักสายตา 5-10 นาที โดยการมองออกไปไกล ๆ เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบดวงตา
ดวงตาเป็นอวัยวะที่บอบบางและมีความสำคัญอย่างยิ่ง การขยี้ตาบ่อยครั้งเป็นนิสัยที่ส่งผลเสียร้ายแรงได้ทั้งต่อสุขภาพกายและความสวยงาม จึงควรหลีกเลี่ยงและหันมาใช้วิธีที่เหมาะสมในการดูแลรักษาความสะอาดและบรรเทาอาการระคายเคืองของดวงตาแทน เพื่อรักษาดวงตาคู่สำคัญนี้ไว้ในระยะยาว