ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ “แม่บ้านมีหนวด” ไปบวชมา พร้อมขายของสะสมแบรนด์เนมเพื่อนำเงินถวายวัด
เธอฮอต เธอเริ่ด เธอเชิด และเธอมีหนวด แน่นอนเธอคนนี้คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก "บิว-อิษณัฐ ชลมูณี" หรือที่หลายคนรู้จักเธอในชื่อ "แม่บ้านมีหนวด" เซเลบริตี้ชื่อดังในโลกออนไลน์ ที่ความดังแผ่กระจายไปถึงโลกออฟไลน์ เห็นได้จากการที่เธอมีงานโชว์ตัว หนัง ละคร และโฆษณาอยู่อย่างไม่ขาดสาย จากบัณฑิตสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เธอได้กลายเป็นขวัญใจชาวเน็ตด้วยเอกลักษณ์ที่หาตัวจับยาก การโพสท่าถ่ายรูปสุดสตรอง แถมยังประโคมร่างด้วยคอสตูมอลังการ ตั้งแต่เครื่องหน้าจดปลายเท้า จึงทำให้วันนี้ เพจแม่บ้านมีหนวดมียอดคนติดตามสูงกว่า 700,000 คน ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 ปี
แต่ใครจะรู้ว่าลึกๆ แล้วยิ่งวันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความสุขและความสนุกจากการเป็นแม่บ้านมีหนวดของ บิว-อิษณัฐ ก็ค่อยๆ จางลงมากขึ้นเท่านั้น เธอบอกกับ Sanook! ว่า รอยยิ้มที่เธอเคยยิ้มออกมาจากหัวใจได้หายไป และเธอเริ่มรู้สึกว่าความสุขของเธอส่งผลกระทบต่ออื่นโดยที่ตัวเธอเองไม่เคยทราบมาก่อน ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ บิว อิษณัฐ ตัดสินใจโบกมือลาเมืองใหญ่ และเดินเข้าสู่เส้นทางของพระพุทธศาสนา ณ วัดปาล์มพัฒนาราม ปาล์ม 1 ตก จังหวัดสตูล ซึ่งความตั้งใจของเธอในครั้งก็นี้คือการได้บวชเป็นพระเพื่อทดแทนบุญคุณพ่อแม่ และค้นหาความสุขในชีวิตของตัวเอง
“สาเหตุทำให้ตัดสินใจไปบวชก็คือ ที่ผ่านมายอมรับว่าใช้ชีวิตมีความสุขมาก จนวันหนึ่งความสุขของเรามันเกิดไปกระทบกับคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัว เนื่องจากเราเป็นคนที่ชอบเก็บคำพูดของคนอื่นมาคิดเยอะมาก จนเริ่มรู้สึกว่าหาความสุขให้กับตัวเองไม่ได้ เพจแม่บ้านมีหนวดที่ทำอยู่ตอนนี้เข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว แต่รู้ไหมว่าช่วงที่เริ่มต้นปีที่ 4 เราก็เริ่มยิ้มไม่ออกแล้ว เริ่มไม่อยากไปงานสังคมต่างๆ นานา ที่เขาเชิญ เพราะรู้สึกว่าการที่ไปร่วมงานแล้วถ่ายรูปเสร็จกลับบ้านเราทำไปเพื่ออะไร มันไม่มีความหมายสำหรับเราเลย ณ ตอนนั้นยิ้มแบบมีความสุขไม่ได้เลยจริงๆ เหมือนเราไม่เจอความสุขที่เรากำลังตามหา จนในที่สุดก็ตัดสินใจว่าจะบวช เผื่อว่าการบวชนั้นจะทำให้เราได้เจอกับเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ต่อไป”
( บิว-อิษณัฐ ขณะทำพิธีปลงผม)
“ด้วยความที่เป็นคนบ้านนอก และมีความตั้งใจอยากจะบวชเพื่อให้พ่อกับแม่ได้ใส่บาตร ก็เลยเลือกที่จะไปบวชแถวบ้านทางภาคใต้ และใช้ระยะเวลาในการบวชทั้งหมด 1 พรรษา เพราะรู้สึกว่าขนาดทุกๆ คนยังต้องเรียนหนังสือเพื่อที่จะได้รู้ ดังนั้นการบวชเป็นพระก็ต้องคงต้องใช้เวลาเหมือนกันเพื่อที่จะเรียนรู้ว่า การเป็นพระคืออะไร บทสวดคืออะไร วินาทีแรกที่ใส่ผ้าเหลืองและหันไปเห็นหน้าพ่อกับแม่ จำได้เลยว่าตอนนั้นร้องไห้ออกมาเลยนะ ยิ่งตอนที่พ่อแม่ก้มลงกราบยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกจริงๆ ได้แต่คิดว่าอย่างน้อยๆ 3 เดือน หลังจากนี้จะปฏิบัติให้ที่ดีสุดเท่าที่จะทำได้ เพราะขนาดพ่อแม่ผู้ซึ่งเป็นคนที่รักเรามากที่สุดเขายังนอบน้อมขนาดนี้ ดังนั้นคนอื่นๆ ที่เขาจะมาใส่บาตรให้เราหรืออะไรก็แล้วแต่ในขณะที่เราใส่ผ้าเหลือง เขาจะนอบน้อมขนาดไหน”
บิว-อิษณัฐ เล่าต่อว่า ความรู้สึกหลังจากที่ได้บวชและได้ศึกษาหลักธรรมคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนา เธอได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่ตามหาไม่ใช่ "ความสุขที่รออยู่ข้างหน้า" แต่กลับเป็น "วิธีการมองสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มีความสุข" ซึ่งเธอยังได้บอกกับเราด้วยความรู้สึกถ่อมตัวอีกว่า การบวชไม่ได้หมายความว่าชีวิตของเธอจะดีขึ้นหรือดีกว่าใครๆ เพราะทุกวันนี้เธอก็ยังคงเป็นบิวคนเดิม แต่เป็นบิวที่มีสติมากขึ้นเท่านั้นเอง
“ความรู้สึกที่เกิดขึ้นหลังจากบวชก็คือ ก่อนหน้านี้อย่างที่บอกเราพยายามตามหาความสุข หาว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขได้อีกครั้ง แต่หลังจากสึกออกมาแล้วถึงได้รู้ว่า จริงๆ เราไม่ได้ต้องการที่จะหาความสุขหรอก เราแค่ต้องเลือกที่จะมองสิ่งที่มีอยู่และทำให้ตัวเองมีความสุขกับสิ่งนั้นมากกว่า ถามว่ารอยยิ้มที่หายไป ณ ตอนนี้ได้เจอกับมันไหม ขอใช้คำว่าอิ่มดีกว่า เพราะการบวชมันคือการละ แต่ไม่ได้หมายความว่าบวชแล้วชีวิตเราจะดีขึ้น หรือเราจะปล่อยพลังได้ เราแค่เป็นคนเดิมที่มีสติมากขึ้น มองทุกอย่างเป็นธรรมและเข้าใจในสิ่งนั้นๆ มากขึ้นแค่นั้นเอง”
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง แว่นตา กระเป๋า สินค้าแบรนด์เนมต่างๆ เปรียบเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิต เป็นของที่ บิว-อิษณัฐ รักและสะสมเหมือนคนอื่นๆ ที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมทั่วไป แต่แล้วเมื่อเธอได้ลองปรับมุมมอง เธอจึงเริ่มรู้สึกว่าของเหล่านั้นไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป เพราะสินค้าไม่ว่าจะถูกหรือแพง คุณค่าของการใช้งานก็ล้วนแล้วแต่เท่ากัน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจขายของแบรนด์เนมที่มีอยู่บางส่วน และนำเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายถวายให้กับวัด เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในด้านการพัฒนาและบูรณะซ่อมแซมต่อไป
( บิว-อิษณัฐ ในลุค แม่บ้านมีหนวด)
“ชีวิตที่ผ่านมาเราเป็นคนที่เก็บสะสมของแบรนด์เนมเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระเป๋ากับแว่นตา แต่ว่าตอนที่ได้บวชกลับรู้สึกว่าไม่มีความอยากได้ของพวกนี้เลย ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เรามองว่าเสื้อผ้าหรือรองเท้าเราสามารถใส่อะไรก็ได้ เพราะทุกอย่างมันเท่ากัน รูปแบบของประโยชน์ที่เกิดขึ้นคือ 1 เท่ากับ 1 ไม่ใช่ 1 เท่ากับ 5 เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าเฉยๆ กับสิ่งที่มีอยู่มากๆ ซึ่งพอเรารู้สึกแบบนั้นปุ๊ปมันก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัดสินใจว่านำของพวกนั้นไปให้กับคนอื่นดีกว่า โดยวิธีการให้ก็คือเอาของที่มีไปขายในราคาที่เขาเสนอมา และก็นำเงินที่ได้จากการขายนั้นไปบริจาคให้กับวัดเพื่อใช้ในการบูรณะซ่อมแซมวัดต่อไป ซึ่งต้องบอกก่อนนะว่าวัดต่างจังหวัดไม่ได้เหมือนกับในกรุงเทพฯที่มีกล่องหรือตู้ให้บริจาค แต่วัดต่างจังหวัดอยู่ได้เพราะแรงศรัทธาของชาวบ้าน นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อยากจะช่วย ถึงแม้จะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ แต่ก็รู้สึกว่าไม่เสียดายแล้ว”
“ส่วนเรื่องของแบรนด์เนมถามว่ายังให้ความสำคัญกับของเหล่านั้นอยู่หรือเปล่า ขอใช้คำว่า เราให้ค่าความสำคัญของงานศิลปะดีกว่า คือของมันยังคงมีค่า เพียงแต่ว่าตัวเราไม่ได้ต้องการมันแค่นั้นเอง เพราะมันไม่ได้จำเป็นสำหรับเราอีกแล้ว ความสุขของเราทุกวันนี้แค่เราตื่นเช้ามาได้สวดมนต์ ก่อนนอนได้สวดมนต์ ได้ออกไปเที่ยวในที่ที่ไม่ค่อยมีคน ได้ใช้ชีวิตด้วยความเข้าใจมากขึ้น รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร มีสติกับทุกอย่าง เรื่องไหนควรใส่ใจ เรื่องไหนควรปล่อยไปให้ธรรมชาติได้บำบัด ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้หลังจากที่ได้บวช”
ก่อนที่เราจะจบบทสนทนากันในวันนั้น บิว-อิษณัฐ ได้บอกกับ Sanook! ถึงก้าวต่อไปในบทบาทของการเป็น แม่บ้านมีหนวด ที่เธอตั้งใจจะมอบให้กับแฟนเพจเอาไว้ว่า หลังจากนี้เธอจะนำบริบทของตัวเองในชีวิตจริงมาสื่อสารกับทุกคนให้มากขึ้น เพื่อนำความสุขและรอยยิ้มมาแบ่งปัน พร้อมกับให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตที่ตัวเธอเองได้รับมาจากการบวชเรียนด้วยว่า “ปัจจุบันก็ต้องอยู่ อนาคตก็ต้องคิดถึง อดีตคือเรื่องที่ต้องเรียนรู้"