4 สมบัตินอกกาย เกือบทำลายชีวิตการเมือง
4 สมบัตินอกกาย เกือบทำลายชีวิตการเมือง
“ใสซื่อมือสะอาดปราศจากคอรัปชั่น” คุณสมบัติของนักการเมืองที่ประชาชนอยากได้และอยากเห็นเป็นรูปธรรมมากกว่านามธรรม แต่บนเส้นทางสายการเมืองช่างยากนักที่จะหาช้างเผือกที่ไร้ข้อครหาเป็นผู้นำบริหารประเทศ เพราะเส้นทางสายนี้คือการแก่งแย่งชิงดีเพื่ออำนาจ แม้ไม่ได้โกงก็อาจกลายเป็นคนโกงได้
ย้อนดู 4 รัฐมนตรี ถูกครหาว่าทุจริตใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบเพราะสมบัตินอกกาย จนเกือบทำลายเส้นทางสายการเมือง
นาฬิกาหลักล้าน วลีเด็ด “วนใส่กับเพื่อน”
กลายเป็นประเด็นดังข้ามปี เมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกต้องข้อสังเกตถึงแหวนเพชรเม็ดโตและนาฬิกาสุดหรู ปรากฏขณะถ่ายภาพหมู่ของ ครม.ชุดใหม่หน้าทำเนียบรัฐบาลร่วมกับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 4 พ.ย.60ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ชาวเน็ตยังขุดพบอีกว่านาฬิกาไม่ได้มีแค่เรือนเดียวแต่พบมากถึง 25 เรือน รวมแล้วมีมูลค่าประมาณ 39,503,000 บาท จนเกิดคำถามในสังคมว่าได้มาอย่างไร และเป็นการร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ เนื่องว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่ได้ถูกแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินกับคณะกรรมการ ป.ป.ช.
ซึ่งทางพล.อ.ประวิตร ได้เปิดเผยว่า นาฬิกาเป็นของเพื่อนที่เอามาให้ยืมใส่เท่านั้น ส่วนตัวไม่เคยสะสมนาฬิกา และไม่ได้เล่นหุ้นนาฬิกาตามที่สื่อตั้งข้อสังเกต หลังจากที่ใส่เสร็จแล้วก็นำไปคืนเพื่อน
“มันวนกันไป เอาเรือนเก่าออกมา ก็ไม่เป็นไร ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบและชี้มูลว่าผมผิด ผมก็ออก ผมไม่นอยด์อะไร ไม่มีอะไร”
จุดเริ่มต้นเพียงเพราะนาฬิกาหรูเรือนเดียวทำให้เส้นทางสายการเมืองของ พล.อ.ประวิตร ถึงกับหยุดชะงัก และจะจบเส้นทางนี้หรือไม่ คงต้องรอผลสอบของ ป.ป.ช. ต่อไป
คดีที่ดินรัชดาฯ “ผัวเซ็นเมียซื้อ”
เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. 2546 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ชนะการประมูลซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษกถนนเทียมร่วมมิตรติดกับศูนย์วัฒนธรรม จำนวน 33 ไร่ ด้วยราคาสูงสุด 772 ล้านบาท จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูสถาบันการเงิน กลายเป็นที่มาคดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก
และวันที่ 21 ตุลาคม 2551 ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำคุก ทักษิณ ชินวัตร 2 ปี และยกฟ้องคุณหญิงพจมาน ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกันเป็นคู่สัญญา หรือมีส่วนได้ส่วนเสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐ ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เป็นต้นเหตุให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยไม่สามารถอยู่ในประเทศได้
ทั้งนี้ทางฝ่ายผู้สนับสนุนทักษิณต่างอ้างว่านี่คือเกมส์การเมืองของคู่แข่งเพราะทักษิณไม่ได้ทุจริตแต่ทักษิณทำสิ่งที่กฎหมายห้ามไว้ สุดท้ายแล้วเส้นทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรเป็นอันต้องยุติลง
เขายายเที่ยง สะเทือนเก้าอี้นายกฯ
หลังการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้ถูกเชิญให้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทยเพื่อบริหารประเทศ ซึ่งรัฐบาลในยุคนั้นถูกขนานนามว่ารัฐบาลขิงแก่ เนื่องจากว่ารัฐมนตรีแต่ล่ะท่านมีอายุมาก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศ
จนกระทั่งเมื่อปี 2550 พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ รัฐมนตรีในขณะนั้น ถูกตั้งข้อสงสัยถึงการครอบครองที่ดินป่าสงวนแห่งชาติเขายายเที่ยง จำนวน 20 ไร่ โดยที่ดินดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่กรมป่าไม้ได้จัดสรรให้ชาวบ้านเพื่อทำกินห้ามซื้อขาย
โดยเมื่อปี 2536-2537 นายเบ้า ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่ นายนพดล พิทักษ์วานิชย์ ผู้รับเหมาก่อสร้าง ในราคา 700,000 บาท และนายนพดล ได้ขายที่ดินให้กับ พ.อ.สุรฤทธ์ จันทราทิพย์ ในราคา 50,000 บาท จนกระทั่ง ปี พ.ศ. 2545 ได้มีเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองมาเป็น พ.อ.หญิงคุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภรรยา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์
ซึ่งการซื้อมาในราคาถูกจึงถูกตั้งขอสังเกตว่าเป็นการจัดฉากหรือไม่ และที่สำคัญคนซื้อไม่ทราบจริงๆหรือว่า เป็นที่ป่าสงวน
จนกระทั่งวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2552 อธิบดีอัยการเขต 3 มีคำสั่งไม่ฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า พล.อ.สุรยุทธ์ ขาดเจตนาทำผิด เพียงแค่ครอบครองที่ดิน เขายายเที่ยง ที่ผิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรี ปี พ.ศ.2518 เท่านั้น
ถึงแม้จะไม่ผิดแต่เส้นทางชีวิตการเมืองของ พล.อ.สุรยุทธ์ ก็เกือบยุติลงเหมือนกัน
วลีงง โจรปล้นบ้าน ห้ามแจ้งตำรวจ
กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งเมื่อโจรขึ้นบ้าน สุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ซึ่งตรงกับวันแต่งงานของลูกสาวพอดี สร้างความเห็นใจต่อสังคมอย่างมาก
แต่แล้วเรื่องราวกลับตาลปัตรเมื่อตำรวจสามารถจับผู้ร้ายได้และสารภาพว่าได้รื้อค้นทรัพย์สินพบกระเป๋าใส่เงินจำนวนมาก ประมาณ 700-1,000 ล้านบาท!! แต่ขนมาได้แค่ 200 กว่าล้านบาท
ทั้งที่นายสุพจน์ยืนยันว่าเงินสดหายไปเพียง 5.06 ล้านบาทเท่านั้น แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถยึดเงินสดของกลางได้กว่า 17 ล้านบาท ซึ่งมากว่าที่นายสุพจน์ แจ้งไว้
แล้วเงินสดจำนวนมากมาจากไหน? ทาง ป.ป.ช. จึงได้ตรวจสอบเส้นทางการเงินของนายสุพจน์ พร้อมชี้มูลความผิดว่าร่ำรวยผิดปกติ จนถูกยึดทรัพย์สินทั้งสิ้น 64,738,587 บาท
วิบากกรรมยังไม่จบสิ้น เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุก นายสุพจน์ 10 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กรณียื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ 5 ครั้ง
จบชีวิตการเมืองของนายสุพจน์อย่างสิ้นเชิง พร้อมคำบ่นเบาๆว่า โจรขึ้นบ้านถ้าไม่แจ้งตำรวจเรื่องก็คงไม่เกิด
สมบัตินอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ เงินและอำนาจเป็นของคู่กัน เป็นกิเลสที่ใครก็อยากได้อยากมี แต่สิ่งที่ได้มานั้น สร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองหรือไม่ ถ้าได้มาแบบไม่สุจริต
แต่ถึงแม้ว่าทรัพย์สินที่ได้มาจะไม่มีมูลความผิด แต่ก็อาจจะไม่ถูกกฎหมายก็เป็นได้เพราะนี่คือเกมส์การเมือง