“แตงโม” รู้ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง แค่อยากให้เข้าใจ “เก๋ เลเดอเรอร์” จากคนที่เคยคิดสั้นเหมือนกัน
ทำเอาโซเชียลร้อนเป็นไฟ เมื่อนักแสดงสาวชื่อดัง แตงโม-นิดา พัชรวีระพงษ์ เข้าไปคอมเมนต์ ขออนุญาต ส.ใส่เกือก ถึงในอินสตาแกรม เอิร์ก เลเดอเรอร์ หรือ เอิร์ก องอาจ กรณีที่เพื่อนสนิทของเจ้าตัว เก๋ เลเดอเรอร์ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในคลินิก ย่านวังทองหลาง
ซึ่งการโพสต์คอมเมนต์ดังกล่าวของนักแสดงสาว ก็ได้ทำให้ชาวเน็ตหลายคนตั้งขอสงสัยว่า เพราะอะไรเจ้าตัวถึงได้ตัดสินใจโพสต์ข้อความเช่นนั้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
โดยล่าสุดขณะที่ แตงโม นิดา เดินทางมาร่วมงานแถลงข่าว CLEO BACHELORS 2018 เจ้าตัวก็ได้ถือโอกาสชี้แจงประเด็นดราม่าที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งอัปเดตอาการป่วยซึ่งส่งผลให้เธอต้องตัดสินใจพักงานในวงการ รวมถึงประเด็นคลิปวีดีโอสุดสะเทือนใจ เนื่องจากพบว่า คุณพ่อไม่ได้เลิกบุหรี่ตามสัญญาไว้ ให้เราฟังว่า...
ถามถึงที่คลิปวีดีโอที่เราโพสต์ลงอินสตาแกรมในทำนองว่าเสียใจที่คุณพ่อยังไม่เลิกสูบบุหรี่ ?
“จริงๆ วันนั้นมันเป็นช่วงก่อนวันเกิดโมไม่กี่วัน แล้วด้วยความที่เราขอคุณพ่อมานานแล้วว่าอยากจะให้คุณพ่อเลิกบุหรี่ เพราะท่านไม่สบายบ่อย และมีหลายๆ โรคที่ต้องดูแล และด้วยความที่เราดันเอาความหวังของเรา ไปไว้ที่เขาเยอะเกินไป คิดว่าเขาต้องเลิกได้ภายในวันเกิดเราแน่ๆ เพราะว่าโมขอเขามาทั้งชีวิตแล้ว และอยู่ดีๆ วันนั้นพอโมได้เจอก้นบุหรี่ โมก็เลยรู้สึกเสียใจมาก เพราะอย่างที่บอกโมตั้งความหวังไว้มาก ลักษณะมันเลยเหมือนกับลูกสาวน้อยใจพ่อ เพราะว่าโมขอท่านมาทั้งชีวิตแล้ว ด้วยเจตนาของโมคือความรักจริงๆ”
“แต่หลังจากที่โมโพสต์คลิปนั้นก็ออกไป ก็มีหลายๆ คนเข้ามาเตือนโมว่า ให้โมใจเย็นๆ และให้ดูที่ความพยายามของพ่อดีกว่า อย่าเพิ่งไปดูที่ผลลัพธ์เลย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อพิสูจน์มา มันก็เห็นได้ชัดแล้ว่าพ่อรักโมแค่ไหน ไม่ใช่แค่การที่ท่านไม่เลิกบุหรี่ข้อเดียว จะทำให้โมไปเหมาว่าเขาไม่รักโม มันก็เลยทำให้โมคิดได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง ฉะนั้นโมไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว เพราะการที่พ่อเลี้ยงโมมาตลอดชีวิตนั่นคือการพิสูจน์แล้วว่าพ่อรักโมแค่ไหน และหลังจากนี้ไปไม่ว่าคุณพ่อจะสูบหรือไม่สูบ โมไม่คาดหวังอะไรแล้ว โมรู้สึกว่าอะไรที่พ่อทำแล้วมีความสุข ก็ให้พ่อทำดีกว่า”
ก่อนหน้านี้เราได้เห็นความตั้งใจของคุณพ่อที่จะเลิกบุหรี่ไหม ?
“ตอนแรกไม่เห็นค่ะ มันเป็นความรู้สึกจับผิดมากกว่า ด้วยความที่เราขอมาทั้งชีวิตแล้วไง มันก็ 20 -30 ปีแล้ว คอยจับผิดอยู่ตลอดเวลาว่าเมื่อไหร่จะเลิกให้สักที มันเหมือนเราอยู่กันคนละฝั่ง และในที่สุดพอโมเริ่มถอยกลับมามองตัวเอง แล้วเห็นว่าการที่เขาพยายามเลิก เขาก็พยายามมากแล้ว มันเลยทำให้โมคิดได้ว่า โมอาจจะใจร้ายเกินไปหน่อย แต่ทั้งนี้ก็อยากให้ดูที่เจตนาของโมด้วยเหมือนกัน คือโมไม่ได้มีเจตนาที่จะทำร้าย หรือว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีสำหรับใคร เพราะเจตนาของโมคือแค่อยากให้พ่อสุขภาพแข็งแรง และอยู่กับโมไปนานๆ เท่านั้นเอง”
วันนั้นเราได้ถามคุณพ่อไหมว่า ทำไมท่านถึงกลับมาสูบอีก ?
“เราเคยคุยกันมาทั้งชีวิตแล้วค่ะ พ่อให้คำสัญญามาทั้งชีวิตเลยว่าเขาจะพยายาม(หัวเราะ) ดังนั้นคราวนี้โมก็เลยเลือกที่จะปล่อยไป อย่างที่บอกเหมือนโมได้ปลดล็อคในใจโมแล้วว่าและโมก็จะไม่ขอเขาอีก เพราะเขาก็คงแพลนไว้แล้วเหมือนกันว่าเขาจะลดยังไง โมเชื่อว่าพอเขากำลังพยายามเพื่อโมอยู่ ฉะนั้นโมจะไม่คุยเรื่องนี้กับคุณพ่ออีกแล้วค่ะ”
แสดงว่าตอนนี้เราก็ไม่น้อยใจคุณพ่อแล้ว ?
“ไม่น้อยใจแล้ว เข้าใจคุณพ่อแล้วค่ะ ถ้าลูกๆ บางคนยังเป็นเหมือนโม ยังแอบงอนอยู่ ยังงอแงอยู่ อยากจะให้มองว่าถ้าเขาไม่พยายามเลยเราก็คงงอนได้ ดังนั้นเราถามเขาก่อนที่จะตัดสินเขาดีกว่า ว่าที่ผ่านมาเขาได้พยายามแล้วหรือยัง (ยิ้ม) ส่วนตัวโมเองจากนี้ไปก็จะ พยายามชดเชยเรื่องอื่นๆ เช่น ถ้าคุณพ่อไม่สบายก็จะขอให้เขาออกกำลังกายเยอะหน่อย และกินอาหารเพื่อสุขภาพเยอะหน่อย คือแล้วแต่ความสมัครใจของคุณพ่อเป็นหลัก”
>> "แตงโม นิดา" กลั้นน้ำตาไม่ไหว เจอก้นบุหรี่ของพ่อ ทั้งที่สัญญาว่าจะเลิกสูบ
ขออนุญาตถามถึงคอมเมนต์ที่เราเขียนถึง เอิร์ก เลเดอเรอร์ ในอินสตาแกรมว่า ตามมาเผือก ?
“ในเรื่องคอมเมนต์จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของโมหรอก เพราะโมเองก็เขียนกำกับเอาไว้แล้วว่าโมตามไปเพราะอะไร แต่ที่โมรู้สึกเห็นใจก็เพราะโมอยากที่จะเป็นปากเสียงให้กับคนที่เขาเคยฆ่าตัวตาย หรือคนที่ฆ่าตัวตายไปแล้ว เนื่องจากเขาเหล่านั้นจะมีมุมบางมุมที่คนบางคนยังไม่เข้าใจ และโมก็อยากจะให้สังคมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับคนที่กำลังจะฆ่าตัวตายมากขึ้น”
“ซึ่งการที่โมตามเข้าไปเผือก โมต้องบอกก่อนว่าด้วยความที่โมเองก็เคยมีเรื่องราวบางช่วงชีวิตของโมที่คล้ายเขา โมก็เลยอยากจะช่วยอธิบายแทน โมรู้ว่านะว่ามันไม่ใช่เรื่องของโม แต่โมรู้สึกไงคะว่าสังคมยังให้พื้นที่กับคนที่เจ็บช้ำในหัวใจน้อยไปหน่อย ดังนั้นถ้าหากโมสามารถพูดแทน เขาได้โมก็อยากจะพูดเท่านี้เองค่ะ ในฐานะที่เราเป็นโรคเดียวกัน และเคยมีความรู้สึกเดียวกัน เพราะถ้าหากเป็นโรคอื่น เราก็สามารถวัดค่าเลือด วัดค่าน้ำตาล หรือค่าอะไรต่างๆ และรักษาโดยตรงได้ แต่กับโรคทางจิตเราไม่สามารถวัดได้เลยว่า เสียใจมากเท่าไหร่ รักมากเท่าไหร่ ความรู้สึกแย่มากน้อยเท่าไหร่ เพราะบนโลกใบนี้มันไม่มีหน่วยวัดได้ ดังนั้นถ้าหากเราเข้าใจและเราศึกษาที่จะอยู่กับคนเป็นโรคซึมเศร้า คนฆ่าตัวตายจะน้อยลงมากเลยค่ะ”
>> "แตงโม" ทนไม่ไหว ขอ ส.ใส่เกือก เตือนสติ "เอิร์ก เลเดอเรอร์" อยากจบแบบไหน
อัปเดตอาการป่วยของเราบ้าง เพราะล่าสุดเห็นเราออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจะรับงานในวงการบันเทิงให้น้อยลง ?
“จริงๆ งานวันนี้ก็ถือว่าเป็นงานในวงการ ซึ่งโมก็ยังคงรับปกตินะคะ ส่วนเรื่องละครอันนี้โมต้องขอพิจารณาเป็นเรื่องๆ จริงๆ เพราะถ้าหากโมยังไม่หายดี โมก็ไม่อยากจะเป็นภาระให้ทุกคน ไม่อยากเอาชื่อเสียงของตัวเองไปแลก และถ้าหากจำได้ที่ผ่านมาโมเองก็มีประวัติมาพอสมควรเลยเหมือนกันว่าโมทำงานไม่เต็มที่”
ผลกระทบจากอาการป่วยของเราส่งผลกับงานยังไงบ้าง ?
“โมไม่สามารถยืนนานๆ ได้ค่ะ เพราะโมจะเหนื่อยเร็วหมดแรงเร็ว รวมถึงมีอาการเช้าไม่ตื่นกลางคืนไม่นอน ซึ่งอาการตรงนี้ส่งผลโดยตรงกับงาน คือตอนเช้าจะอ่อนเพลีย แต่ตกกลางคืนจะคึกมาก ฉะนั้นมันจึงชัดเจนเลยว่า นาฬิกาชีวิตโมมันไม่สอดคล้องกับคนทั่วไปจริงๆ นั่งจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้โมเกรงใจทุกคน และต้องขอผู้ใหญ่ว่าในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าโมขออนุญาตรักษาตัวเองก่อน และหลังจากนั้นประมาณ 6 เดือน ก็ๆ ค่อยกลับมาทำงานอีกที”
ทำไมเราถึงเพิ่งจะเริ่มรักษา ทั้งๆ ที่มันเกิดมาตั้งนานแล้วและเรื้อรังมานาน ?
“โมเพิ่งจะทราบค่ะว่าโมป่วยโรคนี้ เพราะก่อนหน้านี้โมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่าโมเป็นโรคต่อมหมวกไตล้า แต่ด้านอาการมันมีอาการมานานแล้วค่ะ ซึ่งในตอนนั้นโมก็คิดว่ามัน เพราะเราเป็นคนขี้เกียจหรือเปล่า แต่พอได้ปรึกษาคุณหมอและรู้ว่าคอร์ติซอลของโมมันหลั่งผิดช่วงเวลา มันก็เลยทำให้เข้าใจว่าที่ผ่านมาอะไรเป็นอะไร และเพิ่งจะได้รักษากับคุณหมออย่างจริงจังเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเอง เพราะโมต้องหาหมอที่นัดงานและคุยกันให้เข้าใจได้ง่ายมากที่สุด สำหรับขั้นตอนการรักษาตอนนี้ จริงๆ โมยังรอผลเจาะเลือดอยู่ค่ะ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์กว่าจะทราบผล ส่วนเรื่องการดูแลตัวเองหลักๆ เลยก็คือ ต้องนอนเร็ว, ตื่นให้ทันอาหารเช้า และออกกำลังกายบ้าง ซึ่งก็ถือว่าตั้งแต่ทำมา หลายๆ อย่างก็เริ่มดีขึ้น แต่ว่ายังไม่หายขาดค่ะ”
เมื่อก่อนการที่เราขึ้นชื่อว่า มาสาย เป็นเพราะต่อมหมวกไตใช่ไหม ?
“โมไม่อยากจะไปโทษว่ามันเป็นโรคของเราแบบร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เพราะเอาจริงๆ ถึงแม้เราจะเป็นโรคอะไรก็ตาม แต่เราก็ต้องมีความเป็นมืออาชีพ ต้องลุกจากเตียงให้ได้ ฉะนั้นเราจะไปโทษโรคของเราไม่ได้หรอก ขนาดคนอื่นเขาไม่สบายเหมือนกัน แต่ทำไมเขาถึงตื่นได้ล่ะ นั่นก็เพราะเขาฝืนตัวเองไหว ขณะที่โมมองว่าอาจจะเป็นที่ตัวโมเองที่ใจไม่สู้”
อะไรที่ทำให้เราเปลี่ยนความคิดว่า ต้องกลับมารักตัวเองและกลับมารักษาอย่างจริงจัง ?
“คือตอนที่โมคิดว่าโมจะออกจากวงการ โมเองก็ใจหายนะ รวมถึงคนรอบข้างก็เข้ามาช่วยเตือนสติโม เช่น ไม่เสียใจเหรอ หรือถ้าเรากลับมาอีกทีมันอาจไม่เหมือนเดิมนะ และบางคนเขาก็เหมือนว่าไม่อยากให้โมเลิกเล่นละคร ยิ่งตอนนี้มันมีบทที่โมก็ไม่คิดว่าโมจะสามารถเล่นได้ และแฟนๆ เขาก็อยากจะให้เราเล่นต่อไปเรื่อยๆ โมก็คิดว่าจะพยายามรักษาตัวเองให้ไวที่สุด และรีบกลับมาทำงานให้เร็วที่สุดเหมือนกัน”
>> "แตงโม นิดา" เปิดใจประกาศเลิกเล่นละคร หลังตรวจพบสองโรคซ้อน