ฮาร์เวิร์ด แนะไทยควรมีธุรกิจเรือธงเพื่อแข่งข้ามชาติ โลตัสคือประตูพา SMEs สู่เอเชีย
การแข่งขันในยุคโลกาภิวัฒน์ทุกประเทศควรมี National Champions เพื่อเเข่งขันข้ามชาติ ในกรณีซีพีเข้าซื้อเทสโกโลตัสคืนจากสหราชอาณาจักรนั้น CP Lotus สามารถเป็นเรือธงให้ประเทศไทยแข่งกับต่างชาติ และนำสินค้าไทย ก้าวไกลไป ทั่วโลก
โลตัสของกลุ่มซีพีมีที่ไทย มาเลเซีย จีน ครอบคลุมประชากร 1,500 ล้านคน และจะขยาย ต่อยอด ออกไป อีกที่เวียดนามและอินเดีย จะทำให้มีฐานการตลาดถึง 3,000 ล้านคน นั่นคือวิสัยทัศน์ของซีพี
นอกจากนี้ คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ซีพีโอเครือซีพี ยังได้ตั้งเป้าหมายด้านความยั่งยืนให้กับทุกบริษัทในเครือฯ เพื่อลงมือทำ ติดตามผล ทำรายงานสาธารณะ DJSI เพื่อรายงานความคืบหน้าเเละผลสัมฤทธิ์ ซึ่งแน่นอนว่า โลตัสจะดำเนินทิศทางด้านความยั่งยืนต่อเนื่องด้วย
Harvard Business School ได้ศึกษาธุรกิจของซีพี และเขียนเรื่องราวเป็นกรณีศึกษาไว้ โดยวิเคราะห์ว่า ความเสี่ยงอย่างหนึ่งในการดำเนินธุรกิจในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือ ปัญหาสภาพแวดล้อมพื้นฐาน เช่น ปัญหาความยากจนที่คนส่วนใหญ่ยังมีอยู่อย่างเรื้อรัง ปัญหาหนี้สิน คนส่วนใหญ่มีรากฐานมาจากภาคการเกษตร แต่ยังเป็นขั้นพื้นฐาน หากเป็นภาคการผลิตก็ใช้เทคโนโลยีต่างประเทศ ส่วนด้านบุคลากรก็ยังประสบปัญหาเรื่องการศึกษา ทั้งหมดนี้ทำให้การทำธุรกิจในภูมิภาคนี้ต้องคำนึงถึงปัจจัยทางด้านสังคมควบคู่กัน
ดังนั้น ประเทศไทยต้องมีองค์กรขนาดใหญ่ อย่างที่เกาหลีมีซัมซุง แอลจี ฮุนได ญี่ปุ่นมีโตโยต้า และจีนมีหัวเหว่ย อาลีบาบา เพื่อเป็นผู้เล่นระดับโลกไปเปิดตลาดต่างประเทศ หากไม่มีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีขนาดเพียงพอที่จะไปต่อรองในตลาดโลกและพารายเล็กไปขยายตลาด ก็ยากที่รายเล็กจะอยู่รอด เพราะในปัจจุบันไทยไม่ออกไปบุกตลาดโลก ตลาดโลกก็มาบุกประเทศไทย
ด้วยมิติที่มองเพียงแค่ตลาดไทย ทำให้คนมักเห็นซีพีในวันที่สำเร็จแล้ว บริษัทใหญ่ กินรวบ ผูกขาด แต่จริงๆแล้ว ยุคนี้กินรวบผูกขาดเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นยุคของการแข่งขัน คุณธนินท์มักพูดว่า ปลาเร็ว กินปลาช้า ไม่ใช่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ดังนั้น ใครปรับตัวไม่ได้ก็อยู่ไม่ได้ ใหญ่แค่ไหนก็ไปไม่รอดหากปรับตัวไม่ทัน เช่นกรณีวอลมาร์ท ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา ใหญ่ขนาดนั้นก็ยังประกาศปิดสาขา 269 แห่งทั่วโลกหลังประสบปัญหายอดขายตก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคสินค้าที่หันไปซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกออนไลน์อย่างอเมซอน เป็นต้น
แต่หากมองในมิติโลกาภิวัฒน์ จะเห็นได้ว่า ประเทศไทยแทบจะไม่เคยตั้งคำถามกับบริษัทต่างชาติว่า บริษัทจากต่างประเทศที่เข้ามาผูกขาด ทำกิจการในประเทศไทยแบบไม่จดทะเบียน โดยแทบไม่จ่ายภาษีเลย หรือจ่ายน้อยมาก เช่น กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยงบการเงินปี 2559 ระบุว่าบริษัท กูเกิล (ประเทศไทย) จำกัด แจ้งรายได้รวม 535.34 ล้านบาท กำไรสุทธิ 19.87 ล้านบาท และมีการชำระภาษีเงินได้ 20.25 ล้านบาท, บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการแอปพลิเคชัน Line LineTV LineMusic และอื่น ๆ แจ้งรายได้รวม 137.80 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 211.61 ล้านบาท ส่งผลทำให้ไม่ต้องเสียภาษี นอกจากนี้ บริษัท เทนเซ็นต์ (ประเทศไทย) จำกัด ที่เป็นเจ้าของแอปพลิเคชัน WeChat, Joox และสนุกดอทคอม แจ้งรายได้รวม 412.30 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 156.27 ล้านบาท ไม่เสียภาษีเนื่องจากขาดทุน แต่สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ The Digital Advertising Association of Thailand (DAAT) ชี้ว่า มีเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัล กว่า 19,600 ล้านบาทในประเทศไทย ในปี 2563 ที่แทบไม่จ่ายภาษีให้กับประเทศไทยเลย
ฮาร์เวิร์ด ได้ทำกรณีศึกษาของซีพี โดยมองว่า สำหรับเครือซีพีก็เหมือนกับบริษัททั่วไปที่มีความเสี่ยงมากมาย เช่น เมื่อ 20 ปีก่อน เครือซีพีก็เจ็บตัวไม่น้อย เมื่อรัฐบาลประกาศลดค่าเงินบาทในปี 2540 จำใจต้องดึงยักษ์ค้าปลีกจากอังกฤษ Tesco เข้ามาร่วมทุนใน Lotus Supercenter ต้องขายหุ้นห้างค้าส่ง makro ออกไปให้บริษัทแม่เชื้อสายดัตช์ ลดสัดส่วนถือครองจาก 30% เหลือ 13.4% ก่อนมาซื้อคืนทั้งหมด แม้แต่ธุรกิจโทรคมนาคมในขณะนั้น ต้องเป็นหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ 16 ปีผ่านไป เครือซีพีก็สามารถกลับมาได้ และมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ด้วยแนวทางที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจพอเพียง คือ ไม่ทำอะไรเกินตัว ประเมินความเสี่ยง และทำธุรกิจแบบ Inclusive คือ ทุกคนได้ประโยชน์ และที่สำคัญ คือ มุมมองแบบโลกาภิวัฒน์
คำว่าโลกาภิวัฒน์ พึ่งจะมีบัญญัติกันไม่กี่สิบปี แต่ซีพีใช้แนวทางนี้มานานมากแล้ว เพียงแต่ใช้วลีที่ว่า ซีพีต้องออกไปบุกตลาดทั่วโลก และตอนนี้พาธงชาติไทยไปอยู่ตั้งอยู่ในสำนักงานและโรงงานกว่า 22 ประเทศทั่วโลก และตลาดค้าปลีกค้าส่งก็ไปบุกอาเซียน อินเดีย จีน และอีกหลายประเทศทั่วโลก ทำให้เป็นประตูสำหรับผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดภูมิภาค
ดังนั้น แทนที่จะมองว่า ซีพีใหญ่เกินไปหรือไม่ หากใช้มุมมองโลกาภิวัฒน์ จะเห็นได้ว่า ซีพียังเล็กกว่าผู้เล่นขนาดใหญ่ระดับโลกหลายสิบเท่า หรือเรียกได้ว่าเป็นน้องเล็กในตลาดโลก เพียงแต่พอมีขนาดที่ทั่วโลกมองเห็นว่าเป็นผู้เล่นในระดับอินเตอร์ ธุรกิจไทยจึงต้องบุกไปตลาดโลก ก่อนผู้เล่นระดับโลกมาบุกตลาดไทย การร่วมมือกัน รวมกลุ่มกันแบบพี่ช่วยน้องของธุรกิจไทย จะทำให้ธุรกิจไทยมองตลาดแบบโลกาภิวัฒน์และกล้าเดินหน้าไปทำตลาดที่ต่างประเทศ และโลตัสก็ดูจะเป็นแพลตฟอร์มค้าปลีกที่ได้กลับมาจากสหราชอาณาจักรคืนสู่มือคนไทย อยู่ที่จะใช้ประโยชน์นี้คุ้มค่าแค่ไหนกัน