
พฤติกรรมเสี่ยง “ไขมันพอกตับ” ภัยเงียบที่กว่าจะรู้ตัวก็อาจสายเกินไป
โรคภัยไข้เจ็บถามหาเรากันได้ง่ายมากขึ้น เร็วมากยิ่งขึ้น ยิ่งโรคที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน ยิ่งพบเจอได้ง่าย ตรวจสุขภาพทีก็ต้องมานั่งลุ้นว่าคอเลสเตอรอลจะเกินไหม ไตรกลีเซอไรด์จะพุ่งหรือเปล่า โดยเฉพาะค่าน้ำตาลในเลือดที่อาจส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อสารพัดโรค ซึ่งนอกจากเบาหวานแล้ว ยังมีอีกโรคหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กัน คือ “ไขมันพอกตับ”
ไขมันพอกตับ คืออะไร?
หากอธิบายง่ายๆ คือการที่พบไขมันเกาะอยู่ที่ตับด้านนอก โดยไขมันที่ว่าจะมาจากปริมาณน้ำตาลที่สูงเกินกว่าปกติในร่างกาย ที่ตับสร้างออกมา เป็นภาวะที่ตับทำงานผิดปกติที่ทำให้มีไขมันเกาะตัวอยู่ที่เนื้อตับ
พฤติกรรมเสี่ยงภาวะไขมันพอกตับ
อาการของภาวะไขมันพอกตับ
ไขมันพอกตับเป็นภัยเงียบ ผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าตับมีความผิดปกติ เพราะในระยะแรกไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาให้เห็น จนกว่าจะเข้าไปถึงระยะที่ตับเริ่มอักเสบ อาจจะเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ต่ำๆ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรืออาจมีอาการปวดท้องที่บริเวณตับเล็กน้อย (ใต้ชายโครงขวา) หากตับอักเสบมากขึ้นอาจมีอาการของโรคดีซ่าน คือ ตัวเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม อุจจาระสีซีด เป็นต้น
รู้ได้อย่างไรว่าอยู่ในภาวะไขมันพอกตับ?
จะเห็นได้ว่าอาการที่พบในระยะแรกๆ มักไม่ชัดเจน ดูแลไม่รุนแรง และเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับโรคอื่นๆ จึงอาจทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองกำลังอยู่ในภาวะไขมันพอกตับ ดังนั้นการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี หรือ 6 เดือน จะช่วยให้พบความผิดปกติของตับได้เร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถตรวจพบได้ผ่านการตรวจเลือด และอัลตร้าซาวนด์ประกอบกัน
วีธีป้องกันภาวะไขมันพอกตับ