"ป๋ากิ๊ก" เล่านาทีบอกลา "คุณแม่สุชา" ขอเลือกที่จะไม่ยื้อ ให้ท่านจากไปอย่างสบายที่สุด
นับเป็นอีกหนึ่งข่าวเศร้าสำหรับคนบันเทิงและแฟนๆ ทั่วทั้งประเทศ สำหรับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ คุณแม่สุชา แม่ผู้เป็นที่รักยิ่งของพิธีกรหนุ่มรุ่นใหญ่ กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ ป๋ากิ๊ก หลังเข้ารับการรักษาตัวอยู่นาน เพราะอาการป่วยจากโรคชราและเชื้อมะเร็งที่แพร่กระจายไปทั่วอวัยวะภายในของร่างกาย
โดยในช่วงเย็นวันนี้ (26 ต.ค. 63) สมาชิกครอบครัวกิจเจริญ ซึ่งนำโดย ป๋ากิ๊ก ได้จัดพิธีสวดภาวนา วจนพิธีกรรม อุทิศแด่ผู้ล่วงลับ ณ Redeemer Hall ชั้น 4 วัดมหาไถ่ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกทั้งจากญาติสนิทและเพื่อนพ้องคนบันเทิงที่เดินทางมาร่วมแสดงความอาลัย
พร้อมกันนั้น ป๋ากิ๊ก ยังได้ถือโอกาสนี้พูดถึงความทรงจำดีๆ ความรัก ความผูกพัน ที่ คุณแม่สุชา มอบให้กับทุกคนในครอบครัวมาตลอด ให้เราได้ฟังด้วยว่า...
ป๋ากิ๊ก - "ถ้าพูดถึงอาการป่วยของคุณแม่นะครับ จริงๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นวัยชรานั่นแหละ สูงวัย หมายความว่าร่างกายอวัยวะภายในมันก็เสื่อม แต่อันที่น่าจะแรงที่สุดก็น่าจะเป็นมะเร็ง คุณแม่เป็นมะเร็งหลายที่ มะเร็งตับ มะเร็งปอด ถุงน้ำดีก็มี มีหลายที่แม่เป็นมะเร็งหลายที่เลยครับ แต่ว่าทุกที่ก็ไม่ได้เป็นพร้อมกัน คือตัดที่นี่ โผล่ตรงนั้น ตัดตรงนั้น ไปโผล่อีกตรงหนึ่ง เป็นแมวจับหนูกันไป ทีนี้พอเราตัดหลายอวัยวะเข้าบวกกับวัยที่แตกต่างกัน มันก็ทำให้ท่านฟื้นตัวได้ช้าลงเรื่อยๆ ลุกจากเตียงได้ช้าขึ้นเรื่อยๆ จากที่ตอนแรกอาทิตย์เดียวลุกได้ ก็ขยับมาเป็นหนึ่งเดือนลุกได้ ไปจนถึงสามเดือนลุกได้ และก็หกเดือนลุกได้ จนมาช่วงหลังๆ ท่านก็ไม่ลุกแล้ว ลุกขึ้นไม่ไหว คือมันไม่ใช่เพราะอวัยวะที่ตัดนะครับ แต่เหมือนท่านจะติดเตียงมากกว่า ขี้เกียจลุกขี้เกียจอะไร ไหนจะมีการผ่าเข่าอีกหลายอย่าง แต่สุดท้ายก็เนื่องจากอวัยวะภายในรวนเพราะอวัยวะไม่ครบ ก็ทำให้ระบบการทำงาน การขับถ่ายของเสียก็พัง การดูดซึมของดีก็พัง จนร่างกายมันหยุดทำงานข้างใน"
ป๋ากิ๊ก - "แต่เนื่องจากคุณแม่ท่านอาจจะสมองไม่ได้ตาย คุณแม่ก็เลยอยู่ติดเตียงประมาณหลายเดือน แต่ที่เหมือนกับโคม่าจริงๆ คือหลับอย่างเดียวน่าจะประมาณ 1 สัปดาห์ครับ ซึ่งผมมาทราบข่าวก็เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ที่ผ่านมา ประมาณตี 5 ครึ่ง เพราะน้องที่ดูแลอยู่เขาโทรมาแจ้งว่าคุณแม่มีอาการกระตุก คือกระตุกในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอาการชักนะครับ แต่เป็นอาการกล้ามเนื้อหดเกร็งซึ่งท่านไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อได้ ผมก็เลยรีบไปโรงพยาบาล คือจริงๆ ผมได้คุยกับหมอมาก่อนหน้านี้แล้วแหละว่าอยากให้แม่ไปสบาย อย่างเช่นการล้างไต ถ้าหากไตแม่ไม่ทำงานจะล้างไตไหม คุณหมอก็บอกว่าการล้างไตมันก็เป็นรายวันไปนะและขณะล้างคุณแม่ก็จะเจ็บ ผมก็เลยตัดสินใจว่าไม่ต้องล้าง รวมถึงถ้าไม่อยากให้แม่เจ็บปวดก็ให้ใช้วิธีฉีดมอร์ฟีนแทน ดังนั้นช่วงหลังๆ แม่จึงอยู่ได้ด้วยมอร์ฟีน แต่ในวันสุดท้ายก็จะบวกกับมอร์ฟีนบวกกับหลายอย่างมากเลยครับ"
เห็นว่าทางครอบครัวก็ไม่อยากให้มีการปั๊มหัวใจคุณแม่ ?
ป๋ากิ๊ก - "ใช่ๆๆ คือพอคุณหมอบอกว่าเขาจะอยู่เป็นรายชั่วโมงแล้วนะ นับถอยหลังเป็นชั่วโมง จริงๆ หลานทุกคนก็รู้ พวกเราก็รู้อยู่แล้วแหละถ้าหากถึงวันของเขา เราก็ไม่อยากให้เขาต้องทรมานมาก ผมก็เคยถามทุกคนไปแล้วแหละว่าเราจะปั๊มไป และสุดท้ายเราก็ตกลงกันแล้วว่าเราคงไม่ปั๊ม ซึ่งคุณหมอเขาก็ถามเหมือนกันว่าจะให้ปั๊มไหมให้ยื้อไหม แต่เราก็บอกว่าไม่ยื้อ จากนั้นคุณหมอเขาก็รักษาไปตามอาการให้คุณแม่ไปอย่างสงบ เพียงแต่เขาใช้เวลาหลายชั่วโมงก็เท่านั้นเอง เนื่องจากสมองเขาไม่ได้ตายและเขาก็ใจสู้ ผมคิดว่าใจสู้ แต่โอเคสุดท้ายลูกหลานทุกคนก็ได้มาหา"
เอิร์ธได้มีโอกาสบอกลาคุณย่า ?
เอิร์ธ - "ใช่ครับ จริงๆ แล้วทุกคนได้บอกกันหมดเลย ทั้งพี่ ทั้งน้อง ทั้งหลาน"
ป๋ากิ๊ก - "แม้กระทั่งเปา จริงๆ เปากับย่าค่อนข้างสนิทกัน"
เปาวลี - "หนูได้เจอกับคุณตั้งแต่วันแรกเลยที่พบกับครอบครัวกลมกิ๊ก และก็ได้มีโอกาสรู้จักคุณย่า รวมถึงมีทริปก่อนที่เอิร์ธจะขอแต่งงาน ตอนนั้นเราก็ไปเที่ยวด้วยกัน เป็นทริปที่คุณย่าได้ไปเที่ยวเป็นครั้งสุดท้าย คุณย่าเป็นคนที่ใจดี และหนูก็ได้มีโอกาสไปร่ำลาคุณยาในวันสุดท้ายด้วยค่ะ"
ได้กล่าวอะไรกับคุณย่าบ้าง ?
เปาวลี - "เหมือนที่พ่อกิ๊กบอกค่ะ ก็คือขอให้แม่พระมารับคุณ และก็ให้คุณย่าไม่ต้องเจ็บไม่ต้องทรมานอีกแล้ว"
ป๋ากิ๊ก - "เขาก็บอกให้คุณย่านอนนะ พักนะ คุณย่าสบายๆ เดี๋ยวแม่พระก็มารับคุณย่าแล้ว คือมันก็เป็นธรรมเนียมของพวกเรา จากนั้นก็จะมีการสวดตามธรรมเนียมของคริสต์"
ป๋ากิ๊กได้บอกอะไรกับคุณแม่บ้างไหม ?
ป๋ากิ๊ก - "ผมก็บอกครับว่าแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลเลยนะ แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแล้ว เพราะลูกของแม่ทุกคนก็มีงานการเป็นหลักเป็นแหล่งแล้ว หลานๆ แม่ก็ไม่ต้องกังวลเพราะทุกคนก็ถึงวัยที่เรียนจบแล้วแต่งงานแล้วเหมือนกัน ให้แม่คิดว่าแม่หลับดีกว่า หลับไปแบบสบายๆ ก็เหมือนที่เปาพูดเลยครับ ให้แม่นึกถึงแม่พระไว้ ถ้าหากแม่พระมาก็ให้แม่ไปกับแม่พระนะ แม่ไม่ต้องฝืน ผมก็บอกแค่นั้น"
คุณแม่ในความทรงจำของเราท่านเป็นคนยังไง ?
ป๋ากิ๊ก - "แม่ก็เป็นแม่ที่ค่อนข้างเข้มงวดนะ สำหรับผมแม่เป็นคนที่เข้มงวดมาก และก็เป็นแม่ที่เข้มแข็งมากๆ เช่นเดียวกัน คือเขาจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้ แต่เขาจำเป็นจะต้องทำหรือเปล่ามากกว่า ช่วงที่ผมยังเป็นเด็ก ช่วงที่แม่ยังเป็นสาว แม่ก็เป็นแม่บ้านปกติทั่วไป เลี้ยงลูก 5 คน ตื่นเช้า ทำอาหาร แต่งตัว ไปรับไปส่งลูก คือแม่ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยที่จะว่าลูกหรือเคี่ยวเข็ญลูก ซึ่งผมจะเป็นคนที่โดนแม่ด่ามากที่สุด เพราะผมเป็นคนซน เป็นคนขี้แง ร้องไห้เก่ง คือผมมีความรู้สึกว่าแม่เป็นคนเข้มงวด คือกฎกติกาเขาเยอะ แม่เขาจะเป็นแบบนั้น แต่ถ้าถามว่าแม่เป็นคนใจดีไหม ผมไม่เคยต้องขออะไรเลยครับ เพราะแม่เขาจะเป็นคนให้ก่อนที่เราจะขอเสมอ แม่เป็นคนที่รู้สึกว่าลูกเป็นเด็กตลอดเวลาผมรู้สึกอย่างนั้นนะ"
ป๋ากิ๊ก - "จนเขารู้สึกว่าผมโตเมื่อผมมีลูกของผมเอง แล้วเขาก็จะรู้สึกว่าผมโตขึ้นมาอีก ตอนที่ลูกผมแต่งงาน คือเขาก็จะดูเป็นเจเนอเรชั่นไป ถ้าถามคำจำกัดความของแม่ผม เขารักทุกคนนะ หนึ่งเขาเป็นคนรักทุกคน เขาไม่เคยย่อท้อกับเรื่องอะไร ไม่เคยมีอะไรที่แม่ผมบอกว่าทำไมได้ แม้กระทั่งมีช่วงเวลาหนึ่ง ที่แม่เขามีจักรอยู่ตัวหนึ่ง มีโรงงานแห่งหนึ่ง อาเขาทำ สมัยก่อนโรงงานเขาก็ไม่มีชุดอะไร แต่นี่เป็นโรงงานของฝรั่ง เขาต้องมีที่คลุมผม เขาก็บอกว่าต้องการ 3 พันอัน แม่ผมมีจักรตัวเดียว เขาก็ถามว่าพี่ทำได้ไหม แม่ก็บอกว่าได้ เสร็จแล้วพอขึ้นรถกลับบ้าน พ่อผมก็ถามว่าคุณทำได้เหรอ แม่บอกว่าก็ลองดู (หัวเราะ) ซึ่งแม่ผมก็ทำได้ คือผมมองว่าถ้าถามว่าผมได้อะไรจากแม่ ผมคิดว่าคนทุกคนมีมือมีเท้าเท่ากัน ไม่ลองจะรู้เหรอ ทำได้ไม่ได้เดี๋ยวว่ากัน ค่อยๆ แก้ปัญหาไป เขาเป็นคนใจสู้ วันที่เขาเสีย ผมถึงพยายามบอกแม่ว่าพอแล้ว แม่เหนื่อยแล้ว แม่ไม่ต้องสู้หรอก แม่ไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าแม่ทำได้ ซึ่งผมก็บอกเด็กๆ ว่าจำความคิดของคุณย่าไว้ เพราะมันจะช่วยเราตลอดเวลา”
วันที่ทราบข่าวเราก็ยังคงต้องทำงานอยู่ด้วย ?
ป๋ากิ๊ก - “ผมว่าผมจัดรายการให้แม่ผมดูอยู่นะ ผมว่าแม่คงไม่ได้ต้องการให้ผมเศร้า ผมกลับมีความรู้สึกว่าแม่ผมเขาดูผมอยู่ แล้วก็คงพอใจที่ผมทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมว่านั้นคือจิตใจของแม่ เพราะผมไม่เคยเห็นแม่ผมเศร้าเลย ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องจัดรายการนะ เปาเขาก็ต้องไปเล่นคอนเสิร์ตนะวันนั้น”
เปาวลี - “หลานๆ ลูกๆ ทุกคนเขาก็ไปร่ำลาคุณย่ากันตอนเช้าแล้ว แล้วคุณย่าก็สู้ตลอด ยังไม่ไป จนพวกเราบอกว่า คุณย่างั้นไปทำงานก่อนนะ พ่อกิ๊กวันนั้นต้องมีไลฟ์สดตอน 3 ทุ่ม 15 ของเปาก็ขึ้นเวทีตอน 3 ทุ่มกว่าๆ เหมือนกัน คือเราก็ลุ้นว่าคุณย่าเป็นยังไงบ้าง แต่เดี๋ยวความที่เราต้องทำงานด้วย เราก็โอเคงั้นเรานึกถึงเรื่องงานก่อน แล้วพอลงเวทีมา เพื่อนที่ไปด้วยเขาก็บอกว่าเอิร์ธโทรมานะ แสดงว่าก็ต้องมีข่าวอะไร เพื่อนก็บอกว่าคุณย่าไปสบายตอน 2 ทุ่ม 15 ทีนี้มันก็มีความรู้สึกว่า คือเราไม่ได้นึกถึงตัวเราเอง เรานึกถึงพ่อกิ๊ก ว่าพ่อจะเป็นยังไง กำลังจะเข้ารายการสดด้วย คือเราก็รีบดูตอนไลฟ์เลย อยู่ในเพจพ่อกิ๊กเฮฮา เราก็ภาวนาว่าโอเค พ่อสู้ๆ นะ เราก็รู้ว่าในใจพ่อคงเสียใจแหละที่ได้ข่าวแล้ว”
ป๋ากิ๊ก - “คือผมว่าทุกคนถ้าแม่เสีย ก็คงจะเสียใจอยู่นะ แต่ผมคิดว่าบางที ผมแค่รู้สึกอย่างนี้นะ คือผมพูดไปแล้วเมื่อวานนี้ ความเสียใจความเศร้า มันเป็นเรื่องของชีวิตเรา มันไม่ใช่เรื่องของคนที่เขาดูทีวีอยู่ เขาดูทีวี เขาต้องการความสนุกสนานจากเรา เราไม่มีสิทธ์จะเอาพลังด้านลบ ความเศร้าของเราไปยัดเยียดให้คนอื่นเขา เดี๋ยวเขารู้เขาก็รู้เอง แต่ตอนนี้เราต้องทำงานอยู่ไง ไม่ใช่ว่าผมรักงานมากกว่า แล้วทิ้งแม่ ถ้าคิดขนาดนั้น ผมก็โอเคนะ ก็เป็นสมองคุณ (หัวเราะ) ผมก็ไม่รู้จะพูดว่าอะไร ผมรู้สึกแค่นั้น อีกมุมหนึ่งสำหรับผม ที่ผมตอบไป ผมคิดว่าผมทำรายการ วันนั้นคือพอผมรู้ว่าแม่ผมเสียแล้ว ผมก็โอเค ผมจะทำลายบรรยากาศของการทำงานที่สนุกสนานทำไม ผมจะพูดให้ ซี (ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์) ที่มันทำรายการสดครั้งแรก มันรู้ทำไม มันจะรู้สึกยังไงว่าแม่เราตาย จะกล้าพูดตลกไหม จะกล้าแหย่ผมไหม ภาพมันจะเป็นยังไง จะตลกก็กั๊ก จะเศร้าก็ห่วงผม แล้วผมจะทำสิ่งนั้นเพื่ออะไร ให้มันผ่านไป มันเป็นความเศร้าของชีวิตผมหรือเปล่าวะ แล้วใครที่บอกว่าทำไมผมตอนนั้นผมไม่ไปจับมือแม่อยู่ งกเงินจังเลย ผมก็ครับ ใช่ ผมก็เป็นคนอย่างที่พวกคุณคิด ผมก็รู้สึกแค่นั้น แล้วแต่ คุณจะคิดว่าผมเป็นยังไงก็ได้ ผมกับแม่เท่านั้นที่รู้ว่าผมเป็นยังไงครับ”