"นิ้ง โศภิดา" เผยโฉมลูกน้อย พร้อมเล่าเส้นทางรักระดับจักรวาล กับสามีนักธุรกิจร้อยล้าน
ช่วงนี้กระแสนางงามกำลังมาแรงแซงโค้ง รายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 จึงได้เชิญสาวงามจากเวที มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 นิ้ง-โศภิดา จิระไตรธาร มานั่งพูดคุยอัปเดตชีวิตหลังจากทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายสำเร็จเรียบร้อย นิ้ง โศภิดา ก็หายหน้า หายตา จากวงการบันเทิงไปเลย และนี่คือที่แรกที่ นิ้ง โศภิดา มาเปิดใจถึงช่วงที่ตัวเองหายไป
หลังจากประกวดเสร็จหายหน้าหายตาไปไหน ?
นิ้ง โศภิดา : “หลังจากประกวดเสร็จเดือนธันวาคม อีกสองเดือนนิ้งกลับไปทำงานเลย ตอนแรกเป็นผู้จัดการแบงก์ค่ะ แต่เราไปลาออกตอนช่วงเดือนธันวาคมค่ะ เพราะว่าแฟนเราตอนนั้นเขาก็ทำงาน แล้วถ้าเราทำงานแบงก์เราก็ไม่มีเวลาให้แฟนจริงๆ งั้นเราก็เลยลาออกไปทำงานกับแฟนเป็น CFO ให้เขา”
ปกตินางงามได้มง ระดับนี้แล้วจะต้องเข้าวงการบันเทิงแน่นอน แต่ทำไมเรามาเลือกทำงาน ซึ่งมันไม่ใช่สายบันเทิง ทั้งๆ ที่สายบันเทิงจะได้ความดัง ได้เงินเยอะกว่า มีชื่อเสียง แต่ทำไมเลือกมาทางนี้ ?
นิ้ง โศภิดา : “ตอนนั้น เรามีทางเลือกสองทางค่ะ ไปซ้าย ไปขวา แต่เรายังมีไฟทางด้านนี้ เราจบไฟแนนซ์มา พ่อ แม่ อุตส่าห์ส่งไปเรียนที่อเมริกา เขาใช้เงินที่ส่งเราไปเรียนคือเยอะมาก เพราะเขาใช้เงินส่งเราหมดจนแทบจะไม่มีเลย แล้วนิ้งยังมีน้องที่พิการคนกลาง แล้วคนเล็กห่างจากเราประมาณ 8 ปี คือเรายังต้องดูแลต่อ เราเลยอยากเอาวิชาความรู้ที่เราเรียนมา ไฟแนนซ์ มาช่วยบริษัทของสามีทำให้บริษัทเราแข็งแกร่งขึ้นเพื่อ วันหนึ่งเรามีเงินเราไปช่วยเหลือคนอื่นต่อไปได้”
ไฟแนนซ์ คือสิ่งที่นิ้งตั้งใจที่จะทำให้สำเร็จ แต่ทำไมถึงเลือกมาประกวด นางงาม ?
นิ้ง โศภิดา : “เพราะเป็นฝันเล็กๆ ของเด็กคนหนึ่ง ที่ฝันตั้งแต่เด็กจนโต จนจะทำงานแล้ว มันยังติดอยู่ว่า ฉันไม่ได้ทำฉันจะเสียใจไหม เพราะเราเป็นแฟนนางงาม ดูนางงาม อยากประกวด อยากขึ้นไปเดิน อยากขึ้นไปพูด และเพื่อนนิ้งทุกคนบอกว่า นิ้งไม่สามารถเป็นได้ เพราะเราดูห้าวๆไม่โอเค ขนาดพ่อแม่เรายังบอกว่า นิ้ง ลูกเอาเข้าแค่ 40 ก็พอนะพ่อแม่ไม่อยากขายหน้า เราเลยตัดสินใจเข้าประกวด เพราะเวลาเราทำอะไรเราทำจริงจัง เรามีเวลาเตรียมตัว 6 เดือน เราก็คิดวางแผนเลยคือ เราขอนายก่อนเลย ว่านายขา ขอไปทำหน้าที่ความฝัน ลางานเลย 3 เดือน คือ ]หยุดทำงานไปเลย 3 เดือน”
แล้ว ณ วันนี้ ยังคงปฏิเสธงานในวงการบันเทิงอยู่ไหม ?
นิ้ง โศภิดา : “ตอนนี้คือว่านิ้งมีลูกด้วย ให้นมลูก 6 เดือนครึ่ง เป็นแม่ลูกอ่อนเลยช่วงนี้ ที่รับงานในวงการบันเทิง คือที่รายการ ต้มยำอมรินทร์ คือที่แรกเลยมานั่งจริงๆ รายการจริงๆ หลังจากหายจากวงการไปเลย 2 ปีได้ค่ะ เพราะตอนนั้นเราจะทำงานธุรกิจอย่างเดียวเลย”
แล้วไปเจอกับสามีคนนี้ได้ยังไง ไปเจอ ไปคบกันก่อนมงลง หรือหลังมงลงแล้ว ?
นิ้ง โศภิดา : “ไทม์ไลน์เอาจริงๆ นะคะ ไม่ค่อยมีใครรู้เท่าไหร่ ตั้งแต่เราประกวดเสร็จ เป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์แล้ว ไทม์ไลน์ที่เจอเขา เราไปเจอเขาที่โบสถ์ ไม่เคยคุยกัน มาคุยกันอีกครั้ง คือใส่แว่นเขาไปแล้วเป็นลูกค้าเขาไปแล้ว อีกธุรกิจของเขาอีกอย่างหนึ่ง นำเข้าแว่นด้วยค่ะ แล้วเขาก็ IG ไดเรกต์มา เขารู้ว่าเราเป็นมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ค่ะ เขาก็ไม่กล้าจีบ เขาก็ชมว่าเราสวยนะ จริงๆ ก็มีใจให้เขานิดหนึ่งตั้งแต่อยู่โบสถ์แล้วค่ะ เขาเป็นคนจีนร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อยู่ที่ไทยค่ะ แต่พูดไทยได้นะคะ เพราะเขาอยู่ที่ไทยจริงๆ”
เห็นว่าก่อนที่จะมาเจอแฟนคนนี้ คือ โสดมานานมากเพราะอะไร และเห็นว่าสเปกนิ้ง คือตั้งไว้สูงมาก ?
นิ้ง โศภิดา : “ปิดประตูหัวใจเลยค่ะ เพราะถ้าไม่ได้ตามสเปกที่เราตั้งไว้คือเราจะไม่คุยเลย เพราะเสียเวลา สเปกที่นิ้งตั้งไว้คือต้องสูง 180 แก่กว่าเรา เล่นดนตรีได้ เป็นนักธุรกิจ เพราะนิ้งชอบผู้ชายเก่ง ฉลาด เราจะได้เรียนรู้จากเขา แต่ที่เปิดใจให้แฟo เพราะเรารู้จักเขาอยู่แล้วระดับหนึ่ง เพราะว่าเราเคยเห็นเขาเล่นกีตาร์ในโบสถ์ แฟนนิ้งคือถ้าดูไม่ตั้งใจ เขาจะเหมือนคนอายุ 20 แต่ตอนนี้เขา 32 – 33 แล้ว มีอายุพอสมควรแล้ว จบวิศวะด้วยของ NUS เป็นมหาวิทยาลัยที่นิ้งอยากเข้าแต่ไม่ได้เข้า แต่เขาก็เป๊ะแบบพร้อมมาก แต่ที่เปิดใจให้เขาเพราะเราปิ๊งเขาก่อน แต่เพราะหน้าเขายังดูเด็ก เราเลยไม่แน่ใจว่าจะตรงกับสเปกที่เราตั้งไว้ไหม แต่พอคนที่โบสถ์เขาบอกว่า เขาเป็นคนมีงานมีการนะ แล้วเราก็ไปค้นหาก็เลยรู้ว่าเขาทำงานอะไร จบที่ไหนมา หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน คบกันไม่นาน ก็แต่งเลย เพราะเราดูชะตาแล้วคือตอนแรกเขาคิดว่าเราหลอกเขาด้วย เพราะเขาคิดว่าเราไม่จริงใจกับเขา”
ตอนที่นิ้งเข้าไปเก็บตัวช่วง มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ มีทะเลาะกันบ้างไหม ?
นิ้ง โศภิดา : “มีอยู่ครั้งหนึ่งค่ะ เขาหายไปเลยวันนั้น เพราะปกติเขาจะส่งมาซัพพอร์ตเรา ส่งขนมมาให้ แต่หายไปวันหนึ่งเพราะเข้าใจผิดคิดว่า นิ้งไม่รักเขา หลอกเขา ตอนนั้นเราก็พูดกับพระเจ้าว่าไม่เป็นไรถ้าเขาไม่ใช่เนื้อคู่เราจริงๆ เราก็จะตัดเขาออกไป เพราะเรามีหน้าที่ที่เราจะทำอยู่ข้างหน้า แต่เราก็ปรับความเข้าใจกันค่ะ เพราะเป็นเรื่องเข้าใจผิดแค่นั้น”
แล้วก็เตรียมตัวเป็นนางงาม ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ?
นิ้ง โศภิดา : “อย่างแรกต้องหุ่นเลยค่ะ คือนิ้งเตรียมตัวตั้งแต่ปี 2017 เก็บเงินเอาเงินที่เดือนชนเดือนมาจ้างเทนเนอร์ส่วนตัวเข้ายิม เพราะตอนนั้นเราก็มีพุง เราฟิตหุ่นประมาณ 1 ปี แล้วก็ก่อนหน้าประกวด 6 เดือน นิ้งก็ไปเข้าคอร์สกับพี่กวาง ฟ้ารุ่ง ไปลง 6 คอร์ส คอร์สละ 3 หมื่นอัพค่ะ ทำให้สุดไปเลย เรียนตัวต่อตัวด้วยนะคะ คือที่เรียนมีวิธีการเดิน การพูด เพราะเราเป็นคนพูดน้อย เราพูดจะติดๆ นิดหนึ่ง แต่ครูเขาก็จะพยายามดึงตัวตนของเราออกมา ให้ความมั่นใจของเราออกมา การเป็นนางงาม คือก่อนประกวดนิ้งใส่ส้นสูงไม่เป็น นิ้ว-สองนิ้วคือไม่ได้แล้ว แต่เราต้องไปเดินทั้งวัน แต่สุดท้ายที่เราไปเรียนและด้วยความตั้งใจจากลูกเป็ดขี้เหล่ คือก็ไปได้”
การประกวดครั้งนี้ ทุ่มสุดตัวจริงๆ จนกระทั่งขายรถบ้าน ?
นิ้ง โศภิดา : “ตรงขายรถก็คือเงินที่เราเก็บ คือหมดแล้วแต่ยังมีค่าช่างแต่งหน้า โน้นนี่อีกเยอะ เรื่องค่าใช้จ่าย เราก็เลยตัดสินใจ พ่อขายรถเถอะเอามาช่วยซัพพอร์ตหน่อย ตอนนั้นที่ขายรถคือได้มงแล้วค่ะ สปอนเซอร์ ก็มีค่ะ แต่บ้านเราทำอะไรคือสุดมากทุกอย่างต้องดี คุณพ่อคือขับรถไปให้ตลอด ที่ขายรถก็เพราะเอาเงินไปซื้อชุดสวยๆ ค่ะ”
ซึ่งในปี 2018 ไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดการประกวด มิสยูนิเวิร์ส นิ้งติด 1 ใน 10 ด้วย ?
นิ้ง โศภิดา : “ตอนนั้นดราม่าหนักเหมือนกันค่ะ เป็นเด็กเส้นของประเทศไทยหรือเปล่า ทุกวันนี้นิ้งยังโดนอยู่เลยแบบไดเรกต์มาว่า เราซื้อมงมา 5 ล้าน 10 ล้าน เราก็นึกในใจฉันมีเงินมากเลยนะ เราโดนครหามาเยอะมากตั้งแต่ได้มง MUT แบบทุกอย่างเลย เราโดยมาตลอดแต่เราเป็นคนไม่พูดแต่เก็บข้อมูลทุกอย่าง ที่เราไม่พูดไม่ใช่เราไม่รู้สึก ช่วง MUT เรารู้สึกเยอะมากช่วง 1 – 2 เดือนคือเราโดนพลังลบเยอะมาก เข้าไปโซเชียลคือโดนด่าเละมากเลย แต่เราก็มาตั้งหลักใหม่เราเป็น MUT เราเป็นเจ้าภาพด้วยทำยังไง ถ้าเราไปสนใจคำพูดครหา เราจะไม่เป็นเราเลยเราคิดตอนนั้นคือ ฉันสวยแบบนี้ เราเอาความเรานี่แหละไปแข่ง เอาความรู้ ความสามารถที่ดีไปแข่ง ซึ่งก็ติด 1 ใน 10 คนเชียร์เราเยอะมากน้ำตาเราไหลเลย”
ถึงจะพลาดมงจากเวที มิสยูนิเวิร์ส ไป แต่ได้สามีมาแทน และตอนนี้ก็มีลูกชายวัย 6 เดือนแล้วด้วยคือ น้อง เจมมี่ ?
นิ้ง โศภิดา : “คือเป็นคุณแม่ฟูลไทม์เลยค่ะ เพราะเราทำงานที่บ้านด้วย เราไม่จ้างพี่เลี้ยงค่ะ เพราะนิ้งกับเจไดคุณสามี เราตัดสินใจกันตั้งแต่ที่เราแต่งงาน ถ้ามีลูกเราขอช่วยกันเลี้ยงกันสองคน เพราะเราอยากให้ลูกเห็นเราอยู่ด้วยกัน เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลยนะคะ เลี้ยงลูกด้วยตัวเองแบบนี้ อยากให้นมลูกคือนมเราเอง 100 เปอร์เซ็นต์ ส่วนจะมีคนที่สองไหมของเลี้ยงคนแรกให้ดีที่สุดก่อนค่ะ”
เห็นว่าเตรียมธุรกิจไว้ให้ เจมมี่ แล้วด้วย?
นิ้ง โศภิดา : “จักรวาล ปลาคอด จักรวาล มันคือหนังปลาคอดที่ทอดด้วยน้ำมันมะพร้าวแล้วรีดน้ำมันออกให้หมด เพราะเราเป็นคนทานคลีน เพราะเราทั้งสองคนชอบทานปลามีโปรตีนสูงเราเลยเลือกที่จะผลิตขึ้นมา มีหลายรสชาติค่ะ สายคลีนล้วนก็ไม่มีอะไรผสมเลย หรือจะเป็นรสไข่เค็ม ถ้าสนใจมาสั่งได้ที่ IG : jakrawan.codskin”
ให้แต่ นิ้ง พูดถึง คุณสามี มาถามคุณสามีบ้างดีกว่าว่าก่อนแต่งกับหลังแต่งาน นิ้งเป็นยังไง ?
เจได : “ดีขึ้นครับ เพราะเราได้เห็นมุมเขาอีกมุม ได้เห็นเขาหัวเราะ ได้เห็นมุมอารมณ์ขันของเขา เพราะเราได้มีโอกาสใช้เวลากับเขาตลอด ได้เห็นความเป๊ะของเขา ความน่ารัก ความเป็นคุณแม่ของเขา ทุกอย่างมันดีขึ้นหมดครับพอหลังแต่ง”
สามารถรับชมรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ย้อนหลังได้ทางยูทูป: https://youtu.be/Q2H2-H-QvkY