"เอกพจน์ วงศ์นาค" จากนักร้องก่อนวางไมค์ลงการเมือง เผยต่อสู้มะเร็งต่อมน้ำเหลืองสุดทรมาน
อดีตนักร้องชื่อดัง เอกพจน์ วงศ์นาค ที่วันนี้วางไมค์หันไปเอาดีทางด้านการเมือง แถมเจ้าตัวยังเคยเจอมรสุมชีวิต ป่วยเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เรียกว่าทรมานที่สุดในชีวิตเลย พร้อมเผยเรื่องราวแม่บุญทุ่มเสนอเงินขอเลี้ยงดู ผ่านทางรายการคุยแซ่บ Show ทางช่อง วัน31 ที่มี หนิง ปณิตา และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
ช่วงนั้นดังๆ อยู่ ก็เปลี่ยนไปลงการเมือง?
เอกพจน์ : Wก็ร้องเพลงอยู่ แล้วทำวงดนตรีประมาณ 10 ปี ก่อนที่จะพลิกผันตัวเองเข้ามาการเมือง ก็เป็น สส.สมัยแรกปี 39 ช่วงนั้นไม่ได้ทำวงแล้วครับ ตอนนั้นก็จะมีเป็นรับเชิญบ้าง แล้วก็ทำเพลงบ้างW
ตอนที่ตัดสินใจ จากนักร้องที่ดังมากๆ อยู่ๆ ไปลงเล่นการเมือง อะไรที่ทำให้คุณอาตัดสินใจแบบนั้น?
เอกพจน์ : "แรงบันดาลใจตอนนั้น คือช่วงนึงไปช่วยพี่ชายหาเสียงในระดับท้องถิ่น แต่ว่าพี่ชายไม่ได้รับเลือกตั้งหรอก แต่ว่าระว่างที่เราเดินหาเสียงช่วยพี่ชาย ก็จะมีเสียงจากประชาชนว่าทำไมไม่ลงเอง แต่จริงๆ ก็ยังไม่ตัดสินใจที่จะลงการเมือง ระดับไหนก็ตาม แต่ช่วงที่หลังจากเลือกตั้งเสร็จในช่วงที่ไปช่วยพี่ชายหาเสียง พี่ชายก็คุยเล่นๆ ว่าไปลง สส. ไหม แล้วจังหวะเพื่อนที่อยู่ในวงการด้วยกันทำบัตรสมาชิกพรรคมาให้ ก็เลยคิดว่าน่าจะลองไปสอบถามเขาดูก่อนว่าถ้าเราจะลงสมัครการเมืองจะต้องมีอะไรบ้าง มีความพร้อมยังไงบ้าง ในขณะนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรรคตั้งอยู่ตรงไหน สมัยนั้นก็ต้องโทรไปถาม 13 ว่าพรรคตั้งอยู่ตรงไหน ก็เข้าไปที่พรรค แต่ด้วยความที่เราเป็นนักร้องสื่อก็จำได้ ให้ความสนใจ ในขณะนั้นกระแสการเมืองค่อนข้างจะเงียบอยู่ด้วย จะเป็นช่วงที่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ทางสื่อมวลชนก็รุมเข้ามา แล้วก็สอบถามว่ามาทำไม จะลงสมัครเหรอ สมัครที่ไหน เราก็บอกยังไม่ได้ตัดสินใจ แค่อยากจะมาสอบถาม ปรากฏผู้ใหญ่ในพรรคก็เห็นว่าสื่อสนใจ ตอนนั้นในจังหวัดปทุมธานีเขายังหาตัวผู้สมัครอยู่ ก็น่าจะทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคตัดสินใจที่จะส่งลงสมัคร"
เลือกตั้งในปีนั้นถ้าจำไม่ผิด สื่อพาดหัวว่าล้มช้าง?
เอกพจน์ : "ก็เป็นการพาดหัวข่าว ด้วยความที่ว่าพื้นที่ตรงนั้นตัวเราเองก็ไม่รู้ ตอนนั้นจบ ม.3 มาเราก็ไปร้องเพลงเลย ใช้เวลากับการร้องเพลงยาวนานอยู่ พอตัดสินใจลง เราก็ไม่รู้หรอกใครเป็นอะไร ผู้แทนเดิมเขายังไง เข้าใจว่าเขาติดต่อกันมา ผูกขาดมายาวนาน ทีนี้สื่อคงมองว่าพื้นที่ที่ค่อนข้างจะหิน จะหนัก ก็ไม่คิดว่าเราจะมีโอกาสได้แทรกเข้าไป"
คุณอาเป็นถึง 4 สมัย?
เอกพจน์ : "4 สมัย แต่ปัจจุบันทางการเมืองใหญ่หยุด ตอนนี้เป็นผู้บริหารท้องถิ่น เป็นนายกเทศมนตรีของคลองหลวง"
ขอย้อนไปตอนเป็น สส. พอเราเป็น สส.หน้าใหม่ ตอนนั้นมีการขัดผลประโยชน์กันไหม?
เอกพจน์ : "ช่วงแรกๆ อาจจะมีเหตุการณ์ที่แบบว่าอาจจะไปทำให้บางคนรู้สึกไม่พอใจ มีความพยายามเวลาเราจะขึ้นเวที ก็จะมีการมาขวางไม่ให้ขึ้น มาแย่งไมค์ แย่งอะไร คือมันทำให้บางคนอาจจะเสียหน้าในขณะนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้นำท้องถิ่นในขณะนั้น พอต่อมาเรื่อยๆ ในเรื่องความตั้งใจที่จะทำงานของเราก็ทำให้เขาได้เห็น ตอนหลังเขาก็โอเค เริ่มให้การสนับสนุนมากขึ้น ช่วงแรกๆ อาจจะมีเหตุการณ์หลายเรื่อง เราก็ยอมรับว่าหวั่นๆ อยู่บ้าง"
แล้วกรณีทำร้ายเกือบถึงชีวิตมีไหม?
เอกพจน์ : "ไม่ถึงขนาดนั้น อาจจะแบบว่าวิ่งรถไปมีหินปากระจก อันนี้มี เราก็จับตัวคนทำไม่ได้ เพราะมันมืด เราก็เข้าใจ มันก็ไม่ถึงขั้นร้ายแรง แต่ ณ ขณะนั้นทางพรรคด้วยความเป็นห่วง เพราะมันเป็นระยะแรกๆ ที่เราได้รับเลือกตั้งเข้ามา กระแสมันยังร้อนแรงอยู่ ทางพรรคก็เลยส่งคนมาคอยดูแล"
กลัวไหม?
เอกพจน์ : "จริงๆ เราพอจะรู้ก่อนที่เราจะลงอยู่แล้ว ซึ่งตอนนั้นก็รู้ว่ามันค่อนข้างจะแรงอยู่ แต่เมื่อเราตั้งใจแล้วมันก็กลัวไม่ได้ขนาดนั้น แต่ก็พยายามที่จะป้องกันตัวเอง"
จากคนเบื้องหน้าเป็นนักร้องดังทุกคนจะต้องเตรียมให้เราทั้งหมด แต่พอไปเป็น สส.เราจะต้องไปทำให้คนอื่นเขา มันปรับตัวยังไง?
เอกพจน์ : "มันเป็นงานในด้านที่เราต้องบริการเขาด้วย ดูแลเขา คอยประสาน แก้ปัญหาให้เขา คือหน้าที่ของผู้แทนราษฎรเนี่ย มันเป็นหน้าที่นิติบัญญัติในสภา แต่ว่าในพื้นที่เราละเลยไม่ได้ เพราะเรามาจากการเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นเราก็ต้องมีการเชื่อมโยงกับประชาชนเสมอ เรื่องของการประสานงาน ความคาดหวังให้เราเป็นตัวแทนเขาการที่จะประสานงาน แก้ปัญหา ดูแลเขา ก็เป็นเรื่องที่เราชอบอยู่แล้ว"
ตั้งแต่วันนั้นที่สมัคร สส.จนถึงวันนี้กี่ปีแล้ว ที่เดินในสายการเมือง?
เอกพจน์ : "สส.เนี่ย 4 สมัย ประมาณ 10 ปี ตอนนั้นช่วงการเมืองหยุดมา เพราะว่าประสบปัญหาด้านสุขภาพด้วย รวมแล้วเนี่ยร่วมๆ 20 กว่าปี แต่ในช่วงที่ไม่ได้เป็น สส.ในช่วงนั้นก็มีช่วงอุบัติเหตุทางการเมืองเราต้องหยุดไปก็เป็นช่วงที่ตัวเองก็ล้มป่วยด้วย แต่ว่าในพื้นที่ก็ยังทำงานอยู่ ยังประสานงานช่วยเหลืออยู่"
ตอนช่วงเป็น สส.มีคนจ้างงานไปร้องเพลงด้วยไหม?
เอกพจน์ : "มีจ้างไปบ้าง แต่เราก็ปฏิเสธไป เพราะส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ในพื้นที่ ในพื้นที่ไม่รับจ้าง เราต้องไปช่วยงานเขาด้วยซ้ำไป ใส่ซองช่วย แล้วก็ขึ้นไปร้องเพลงด้วย"
ช่วงที่ต้องเบรกงานเพราะป่วย ตอนนั้นเป็นโรคอะไร?
เอกพจน์ : "มะเร็งต่อมน้ำเหลือง น่าจะระยะ 2-3 ประมาณนั้น"
เราทราบได้ยังไง?
เอกพจน์ : "คือกระดุมเสื้อมันติดไม่ได้ เริ่มแน่นขึ้น มันเริ่มบวมขึ้นที่คอ แล้วให้คุณหมอตรวจดูก็น่าจะต้องผ้าเอาชิ้นเนื้อมาตรวจ พอตรวจก็พบว่ามีเชื้อมะเร็ง แล้วก็ทำการรักษาเลย ให้คีโม เคมีบำบัด 12 ครั้ง"
ตอนนั้นตกใจมากไหม?
เอกพจน์ : "แรกๆ ตกใจ เพราะเราไม่มีความเข้าใจในเรื่องของมะเร็ง มะเร็งมีหลายชนิด คุณหมอก็พยายามอธิบายให้เข้าใจ แรกๆ ผมเชื่อว่าทุกคนคงรู้สึกเหมือนกัน พอรู้ว่าเป็น กำลังใจหรืออะไรต่างๆ มันก็เริ่มถดถอยลง แต่พอเราทำความเข้าใจ วิธีทางเดียวที่ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น ก็คือเราต้องต่อสู้ ไม่ว่าเป็นการรักษาแบบไหนก็ต้องรักษา"
คุณหมอได้บอกไหม สาเหตุของการเกิดมะเร็งคืออะไร?
เอกพจน์ : "โดยปกติเป็นคนที่พักผ่อนน้อยอยู่แล้ว แล้วค่อนข้างเป็นคนที่มีความเครียดอยู่ในตัว มันอาจจะเกิดจากความผิดปกติของเม็ดเลือดขาว ก็เกิดขึ้นได้สำหรับผู้ชายที่อายุ 35-50 ปี ก็ต้องคอยตรวจ"
รักษาตัวอยู่นานขนาดไหน?
เอกพจน์ : "ประมาณ 3-4 เดือน บางทีเราต้องให้คีโมทุกอาทิตย์ แต่บางอาทิตย์มันก็ให้ไม่ได้ เพราะปริมาณเม็ดเลือดขาวมันขึ้นมาไม่เพียงพอ มันก็ไม่สามารถให้คีโม พอให้ไปแล้วมันก็ไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทีนี้ถ้าเม็ดเลือดขาวเราขึ้นน้อยก็ต้องข้ามไป เป็นอย่างนี้บ่อย แล้วต้องระวัง เพราะว่าเวลาเราให้คีโมไปมันจะมีผลข้างเคียงมันจะทำให้ภูมิต้านทานเรามันต่ำ โอกาสที่เราจะได้รับเชื้อ หรือโอกาสที่เราจะป่วยอย่างอื่นมันค่อนข้างจะรวดเร็ว"
เขาบอกว่าให้คีโมมันทรมานมาก มันทรมานขนาดไหน?
เอกพจน์ : "มันอยู่ที่ว่าคนคนนั้นจะมีอาการแพ้แบบไหน แต่แน่นอนที่สุดเรื่องผมร่วง เรื่องปลายประสาทชา แล้วก็เยื้อจมูกบางอันนี้ก็จะเป็นเหมือนกันหมด แต่บางคนให้แล้วอาจจะท้องเสีย แต่ของผมให้แล้วรู้สึกว่าท้องมันจะอืด ตี1-2 ตื่นละ"
ตอนนั้นกลัวตายไหม?
เอกพจน์ : "จริงๆ ไม่กลัวตาย แต่กลัวที่จะจากคนที่เรารัก คนที่เราผูกพัน รู้สึกเป็นห่วงคนที่อยู่ข้างหลังมากกว่า"
ตอนเป็นมะเร็งมันย้อนไปนานแค่ไหน?
เอกพจน์ : "ปี 54 ปีน้ำท่วม ตอนนั้นให้คีโมครบน้ำท่วมพอดี ตอนน้ำท่วมลำบากมาก เพราะที่บ้านก็น้ำท่วม แล้วร่างกายเราก็ยังไม่ค่อยแข็งแรง แต่ว่ามะเร็งที่เป็นมันก็ยุบไปหมดแล้ว
ตอนนี้หายหมดแล้ว?
เอกพจน์ : "หายหมดแล้วครับ ช่วงแรกๆ ก็มีการไปพบคุณหมอช่วง 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี อะไรอย่างนี้"
ถ้าหายมะเร็งหลังจาก 5 ปีก็ถือว่าหายไปเลยใช่ไหม?
เอกพจน์ : "คุณหมอก็ตอบแบบนั้นไม่ได้เหมือนกัน เพราะว่ามันก็คงไม่หายไปหมด เขาบอกว่าคนเราทุกคนมันมีหมด มันมีแค่ไหน มันมีเกินที่จะต้องรักษาแล้วหรือไหม"
จากที่มีโอกาสคุยกับหลายๆ คน เขาบอกว่าคีโมจะทำให้ร่างกายเราไม่ปกติ?
เอกพจน์ : "ใช่ๆ มันจะไม่ปกติหรอกครับ ของผมก็มีเรื่องของมือ เท้า ชา แล้วก็ร่างกายมันจะซูบไปเอง ปกติเป็นคนที่มีเนื้อ มีอะไร เดี๋ยวนี้แขนบางทีก็จะเห็นเส้นเลือด มันเหมือนร่างกายเราถูกทำลาย เนื้อเยื้อต่างๆ ก็ถูกทำลายไป ทีนี้พอเรามีอายุแล้วการฟื้นตัวมันค่อยข้างยาก"
อย่างนี้ส่งผลต่อการร้องเพลงไหม เห็นว่าเป็นตรงต่อมน้ำเหลืองด้วย?
เอกพจน์ : "ไม่ครับ แต่ช่วงที่ให้คีโมนี่ร้องไม่ได้เลย เพราะกำลังมันไม่พอ มันจะเหนื่อย"
ช่วงนั้นคุณอาเป็นทั้งมะเร็ง แล้วไข้หวัดก็ระบาดด้วย?
เอกพจน์ : "ก็เป็นไข้หวัดใหญ่ด้วย แล้วปวดมาก ปวดกระดูกอะไรหมดเลย นอนไม่ได้ ไปโรงพยาบาลที่เรารักษาตัว ตอนนั้นยอมรับว่าผลข้างเคียงของมันทำให้อารมณ์เราไม่ปกติ จะฉุนเฉียวได้ง่าย แล้วตอนนั้นรู้สึกไม่พอใจคุณหมอมาก ไม่ทำอะไรเลย ให้แค่พาราอย่างนี้ มันก็ไม่หาย จนต้องออกมาเข้าโรงพยาบาลเอกชน"
เห็นว่าตอนนั้นทรมานขั้นสุด ถึงขั้นตัดพ้อกับคนรอบข้าง?
เอกพจน์ : "ทรมานมาก ปวดในกระดูก"
คนรอบข้างเล่าให้ฟังว่าคุณอาตัดพ้อว่าเป็นเวรกรรมฉัน ฉันทำอะไรไว้ถึงเป็นแบบนี้?
เอกพจน์ : "ผมว่ามันจริงอย่างนึง มันเหมือนเป็นกรรมช่วงนึง สำหรับคนที่เป็นมะเร็ง เขาถึงบอกมันเป็นโรคเวรโรคกรรม ก็ยอมรับสภาพไป"
ตอนนั้นอะไรที่ทำให้คุณอาผ่านมันมาได้?
เอกพจน์ : "คนที่อยู่ข้างตัวเรา จะเป็นคุณแม่ และครอบครัว ภรรยาและลูกก็ให้กำลังใจ รวมถึงคนรอบข้างหลายๆ คนก็ให้กำลังใจ ที้สำคัญเวลาอารมณ์เราฉุนเฉียว คนรอบตัวเราก็จะ..พอมานั่งนึกถึงก็สงสารเขานะ เขาต้องรองรับอารมณ์เรา"
คุณอาเข้ามาในวงการได้ยังไง?
เอกพจน์ : "มันเป็นจังหวะ จริงๆ คุณพ่อชอบแต่งเพลง ชอบร้องเพลง แล้วตอนเด็กๆ คุณพ่อพาไปประกวดร้องเพลงที่นู่น ที่นี่ และที่บ้านก็เป็นร้านอาหาร จังหวะมีผู้ใหญ่ท่านนึงอยู่ในวงการ ท่านก็มาถ่ายหนังโรงเรียนที่พ่อสอน แล้วผมก็เรียนอยู่ที่นั่น ด้านหลังก็เป็นโรงถ่าย คุณพ่อก็ชอบไปดูและไปพูดคุยกับนักแสดงรุ่นเก่าๆ เขาก็มาทานที่ร้าน ก็เอาเราไปร้องเพลงให้ฟังที่โต๊ะ แล้วบอกเดี๋ยวเอาเราไปออกรายการนี้นะ ก็ไป ตอนนั้นมีเพลงอยู่ 2 เพลงที่คุณพ่อให้อัดเสียงบันทึกไว้ เราก็ตั้งใจไปออกรายการ แต่เขาบอกว่าออกเลยไม่ได้หรอก มันต้องมีเตรียมอะไรก่อนล่วงหน้า เราก็รู้สึกผิดหวัง คิดว่าจะได้ไปออกรายการแล้ว ไปบอกเพื่อนๆ ว่ารอดูนะ ก็อายเพื่อนๆ เพราะว่าไปแล้วไม่ได้ออก ตอนนั้นร้องไห้เลยนะ จังหวะที่คุณพ่อรู้จักกับลุงเหี่ยว เขาก็พาไปเจอพี่เด๋อ ดอกสะเดา ช่วงนั้นเขาดังมาก เขาฟังก็ชอบ และเป็นช่วงที่พี่เด๋อจะทำวงดนตรีตลก มีลูกทุ่งอะไรด้วย เขาก็มห้ไปร้องที่วง จำได้ว่าตอนนั้นร้องเสร็จพี่เด๋อให้เงินมา 1,000 บาท ดีใจมาก ไม่เรียนเลย ไปกับวง จนอาจารย์ต้องมาตามไปสอบ พอจบ ม.3 ก็ยาวเลย ไปอยู่กับวงดนตรีพี่เด๋อ และในระหว่างนั้นพี่เด๋อก็ไปเล่นหนังเรื่อง กองพันทหารเกณฑ์ ที่มีพี่ตา ปัญญา เป็นพระเอก พี่เด๋อเอาเพลงมาให้คุณพ่อเรียบเรียงใหม่ พี่เด๋อก็เอามาให้บันทึกเสียง ตอนนั้นเป็นเพลงแรก"
พี่เด๋อได้บอกไหมว่าเขาเห็นอะไรในตัวเรา ที่พยายามจะผลักดัน?
เอกพจน์ : "ด้วยความที่เรายังดูแบบเด็กๆ อาบุประมาณ 15 ปี แกพูดมาว่ามีแก้วเสียง ณ ขณะนั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าความหมายมันคืออะไร แกก็ชอบ"
คุณอาเป็นนักร้องรุ่นเดียวกับพี่สุนานี ราชสีมา?
เอกพจน์ : "ใช่ครับ บริษัทที่พี่เด๋อพาเข้าไปสมัคร ผมเป็นเบอร์แรก แล้วก็ตามด้วยสุนารี"
ตอนนั้นคุณอามีแม่บุญทุ่มด้วย?
เอกพจน์ : "จริงๆ ไม่เยอะหรอกครับ แต่ก็เป็นความโคดีเรามีคนรัก แต่เป็นจังหวะที่เราอายุยังไม่มาก แล้วเรามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ ช่วงนั้นก็เริ่มมีชื่อเสียง ก็มีเยามาชอบ รัก อายุมากกว่าเรา เขามีฐานะ มีเสนอบ้าน รถ อะไรอย่างนี้"
ตอนนั้นคุณอาไม่ได้รับ?
เอกพจน์ : "ไม่ครับ จริงๆ เป็นคนชอบทำงาน ชอบต่อสู้ชีวิตด้วยตัวเรา ถ้าอยู่ตรงนั้นเรามองว่ามันอาจจะจบอยู่ตรงนั้น งานที่เรารักอยากจะทำ เรายังทำได้ไม่เต็มที่"
ช่วงที่ดังมากๆ มันจะมีจังหวะ หลงแสง สี คุณอาเคยเป็นแบบนั้นไหม?
เอกพจน์ : "ไม่ครับ ตอนนั้นทำงานซะส่วนใหญ่ แทบจะไม่มีเวลาส่วนตัว คือแทบจะไม่ได้ใช้เวลาแบบวัยรุ่น รู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงก็พยายามเจ้าใจมันว่าวันนึงมันก็อยู่กับเราได้ไม่นานหรอก มันอาจจะหมดเวลาไป"
ตอนนั้นเจ้าชู้ไหม?
เอกพจน์ : "ไม่ครับ ถามว่าสาวๆ มารุมจีบเยอะไหมก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็มี ช่วงนั้นเวลาไปงานคุณแม่จะไปด้วยตลอด แม่ตามไปเก็บเงิน แล้วช่วงนั้นพี่เด๋อคอยดูแลด้วย ไม่อยากให้เราแตกออกไปเดี๋ยวมันจะมีผลกระทบต่องาน ต่อชื่อเสียง"
คุณอาหวงลูกสาวไหม?
เอกพจน์ : "ตอนนี้เขาอายุ 20-21 ปีแล้ว ก็หวง แต่จริงๆ เป็นห่วงมากกว่า แน่นอนที่สุดพอเขาโตขึ้นเขาก็ต้องมีชีวิตของเขา มีความเป็นตัวของเขาเอง ก็เป็นห่วงคอยเตือนๆ เขาให้เดินไปในแนวทางที่ถูกต้อง แต่ไม่ถึงกับไปกีดกันอะไรเขา"
น้องมีแววอะไรไหม ทางวงการบันเทิง หรือการเมือง?
เอกพจน์ : "การเมืองก็มีบ้าง น้องเรียนคณะรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่เรื่องร้องเพลงน่าจะไกลเลยครับ เขาไม่ถนัดเท่าไหร่ แต่เรื่องของการเป็นนักแสดงหรืออะไร จริงๆ ต่อหน้าเรา เราไม่ค่อยเห็นหรอก เราไปเห็นเวลาเขาไปแสดงออก เมื่อก่อนไม่คิดว่าลูกสาวจะเป็นคนกล้าแสดงออก แต่เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็แสดงออกได้ดี"
คุณอามีโอกาสจับไมค์ร้องเพลง ขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้งไหม?
เอกพจน์ : "ดูท่าจะยาก ถ้าเล่นคอนเสิร์ตอาจจะยาก แต่ถ้าเป็นงานเฉพาะบางครั้งคราวอาจจะมีบ้าง ทุกวันนี้ในพื้นที่ถ้าจัดงานได้ก็ร้องอยู่"
แสดงว่าเราไม่มีการแขวนไมค์แน่นอน?
เอกพจน์ : "ไม่หรอกครับ เรื่องเพลงมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้วครับ"
ติดตามชมรายการคุยแซ่บ Show ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.40-14.40 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama