เนื้อหาในหมวด ข่าว

“สายลับจับชู้” นักสืบคดีนอกใจทั่วราชอาณาจักร

“สายลับจับชู้” นักสืบคดีนอกใจทั่วราชอาณาจักร

Hightlight

  • งานนักสืบมี 3 แบบ คือ สายขาว สายเทา และสายดำ ซึ่งงานนักสืบชู้จัดเป็นสายเทา โดยผู้ทำงานนักสืบต้องมีทักษะการปลอมตัวให้เนียนกับสถานที่ รวมถึงต้องมีไหวพริบรู้ทันสถานการณ์อยู่เสมอ 
  • ฐานลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่ม “ข้าราชการ” รองลงมาคือกลุ่มคนทำธุรกิจส่วนตัว และดาราเซเลบ 
  • ภรรยาหลวงที่มาจ้างให้ตามสามี จะมีบางส่วนที่ได้หลักฐาน ได้หลักฐานน้อย ไม่ได้หลักฐานเลย หรือไม่เจอเลย แต่สามีหลวงที่มาจ้างให้ตามภรรยา พบว่าภรรยานอกใจ 100% 
  • คนที่เป็นสามีหรือภรรยาย่อมรู้อยู่แล้วหากคู่รักมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ทั้งนี้ ก็ไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อาจจะเป็นสัญญาณของปัญหาชีวิตคู่ 
  • ทัศนคติชายเป็นใหญ่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ปัญหาการนอกใจยังเกิดขึ้นในสังคมไทย เช่นเดียวกับความไม่รู้จักพอ และพฤติกรรมเลียนแบบเจ้านาย 

หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้มีกระแสฮือฮาบนโลกออนไลน์เรื่องสำนักงานนักสืบแห่งหนึ่ง ที่รับสืบประวัติก่อนแต่งงานไปจนถึงสืบคดีคนมีชู้ เรียกว่าสร้างรอยยิ้มและความฉงนสงสัยให้กับชาวเน็ตมากมายเลยทีเดียว เพราะหลายคนคงเข้าใจว่า “การสืบชู้” มีแค่ในละครหรือเป็นมุกตลกในภาพยนตร์ที่นักสืบต้องปลอมตัวขั้นสูงพร้อมฝีมือการถ่ายรูปขั้นเทพเท่านั้น แต่จริง ๆ แล้วอาชีพนี้กลับมีอยู่จริงและมีผู้ใช้บริการมากเสียด้วย แล้วนักสืบชู้ทำงานอย่างไรและมีอะไรที่สังคมไม่เคยรู้เกี่ยวกับอาชีพนี้บ้าง Sanook พูดคุยกับ “สายลับจับชู้” ตัวจริงเสียงจริง ที่จะพาเราไปเปิดโลก “นักสืบ” อาชีพสุดลึกลับอาชีพนี้ให้มากยิ่งขึ้น 

สายลับจับชู้ทำงานอย่างไร 

การทำงานนักสืบโดยทั่วไปสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ประเภทสีขาวหรือการสืบทรัพย์ บังคับคดี ซึ่งเกี่ยวข้องกับกรณีของการฟ้องแพ่ง ประเภทสีดำหรือแฮ็กเกอร์ การเจาะเข้าไปยังข้อมูลส่วนตัวของเป้าหมาย เช่น ไลน์ เฟซบุ๊ก เป็นต้น และประเภทสีเทาหรือการสืบชู้ เนื่องจากการติดตามและเก็บหลักฐานการมีชู้จำเป็นต้องถ่ายภาพ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ของผู้ถูกติดตามโดยตรง แต่กฎหมายไทยก็ยังไม่ระบุว่าการถ่ายภาพเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย 

ชนกานต์ เหยียดชัยภูมิ (แมสสีดำ) นักสืบชู้มืออาชีพ

ชนกานต์ เหยียดชัยภูมิ นักสืบจากสำนักงานที่ปรึกษากฎหมายและนักสืบทีบีแอลเอส ระบุว่า ทักษะที่สำคัญทักษะหนึ่งของสายลับจับชู้คงหนีไม่พ้น “การปลอมตัว” ที่ในละครหรือภาพยนตร์ไทยมักจะสร้างภาพให้นักสืบต้องสวมหมวก ติดหนวด ใส่แว่น จนกลายเป็นภาพจำที่คนทั่วไปคิดว่า “นักสืบชู้คงต้องแต่งตัวแบบนั้นแหละ” แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป และสิ่งสำคัญที่สุดของการเป็นนักสืบชู้ คือการทำตัวให้เนียนกับสถานที่มากที่สุด 

“เราจะไปสวมกางเกงยีนส์ เสื้อยืดสีดำ ใส่หมวกแก๊ปแบบในหนัง รับรองว่ายังไงเขาก็จับได้ ยังไงเขาก็ติดใจ เราจะไปขับรถตามเป้าหมาย ต้องใช้รถสีดำ ต้องใช้รถสีขาวเท่านั้น อย่างนี้ใครก็รู้ เพราะมันอยู่ในหนังในละครอยู่แล้ว ดังนั้น เราต้องเนียนตามสถานการณ์ ว่าสมมติเราอยู่ในผับ เราก็ต้องแต่งตัวให้เป็นวัยรุ่น เป็นวัยเที่ยวมากที่สุด ถ้าไปอยู่ในวงสังคมผู้ใหญ่ หรืองานเลี้ยงสังสรรค์ เราก็ต้องแต่งกายให้เข้ากับสถานการณ์มากที่สุด แบบนี้จะไม่มีใครสามารถจับพิรุธเราได้” ชนกานต์เล่า 

นอกจากนี้ นักสืบชู้ยังต้องมีไหวพริบและรู้จักพลิกแพลงเมื่อเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝันอยู่เสมอ เพราะหลายครั้ง “ผู้ถูกติดตาม” อาจจะไหวตัวทันได้ 

ไหวพริบที่จะรู้ทันเหตุการณ์ รู้ทันสถานการณ์ และหลบเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่ควรเข้าไปสืบ อันนี้สำคัญที่สุด รองลงมาก็เป็นเรื่องที่ว่า เราจะนำหลักฐานไปทำอะไร ถ้านำไปเป็นพยานในชั้นศาล เราก็ต้องรู้ว่ากฎหมายให้ได้มากแค่ไหน สืบไปแล้ว เอาไปใช้ในชั้นศาล ศาลจะรับฟังได้มากน้อยแค่ไหน แล้วอันไหนที่อ้างเป็นพยานหลักฐานได้” ชนกานต์อธิบาย 

การเก็บพยานหลักฐานต้องเป็นไปตามหลักกฎหมาย มิฉะนั้นอาจเข้าข่ายการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อย่างเช่นหลายกรณีที่นักสืบนำกล้องไปติดในห้องและถ่ายวิดีโอขณะที่ผู้ติดตามกำลังร่วมประเวณี ซึ่งชนกานต์ยืนยันว่า นี่เป็นสิ่งที่ผิดและนักสืบควรตระหนักว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ 

ฐานลูกค้าทุกระดับ ไม่รับงานเมียน้อย

เมื่อถามถึง “ฐานลูกค้า” ชนกานต์เล่าว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกติดตามหรือเป็นผู้ว่าจ้าง โดยเขาแสดงความคิดเห็นว่า ข้าราชการมีทุนทรัพย์ในการจ้างนักสืบ และมีผลประโยชน์ทับซ้อนกัน 

“บางคนฟ้องหย่าไม่พอ ต้องการเรียกค่าเสียหาย ค่าเลี้ยงดูบุตร โดยเอาตำแหน่งหน้าที่ราชการมาเป็นเดิมพัน เช่น ความผิดวินัยร้ายแรง ซึ่งมันก็เอาออกจากราชการได้ ถ้ารองลงมาก็เป็นพวกธุรกิจส่วนตัว สามีให้เฝ้าร้านอยู่บ้าน แล้วสามีก็ออกไปข้างนอก และลำดับที่สามก็จะเป็นพวกดารา” ชนกานต์ระบุ 

อย่างไรก็ตาม การมีฐานลูกค้าที่เป็นข้าราชการก็มี “ความเสี่ยง” กับตัวชนกานต์เองเช่นกัน เพราะหากเขาต้องรับงานที่ต้องติดตามกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องการสืบ เช่น ตำรวจหรือทหาร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเรื่องการพรางตัวและการสะกดรอยตาม มากกว่านักสืบเอกชนอยู่แล้ว การรับงานกับกลุ่มเป้าหมายในลักษณะนี้จึงต้องใช้ความระมัดระวังมากเป็นพิเศษ 

แม้จะรับงานจ้างสืบและติดตามสามี-ภรรยา แต่ชนกานต์ก็ระบุชัดเจนว่า สำนักงานของเขาไม่รับงานจากเมียน้อยและไม่รับให้คำปรึกษาเมียน้อย แต่จะรับงานจาก “เมียหลวง” หรือ “ผัวหลวง” เท่านั้น 

“แปลกอย่างหนึ่งคือ ผู้หญิงที่มาจ้างสืบ มันจะมีบางส่วนที่ได้หลักฐาน กับได้หลักฐานน้อย และไม่ได้หลักฐานเลย หรือไม่เจอเลยก็มี แต่ในส่วนของผู้ชายที่มาจ้างเราให้ตามภรรยาของเขาเพื่อฟ้องหย่า 100% เจอทั้งหมด” ชนกานต์เล่า 

คนมีชู้ต้องดูอย่างไร 

“ภรรยาหรือสามีจะรู้ดีที่สุด” ชนกานต์ตอบคำถาม “วันแรกที่คบกันกับวันแรกที่เปลี่ยนไปมันมีความต่างกันอยู่เสมอ เขาจะสังเกตได้ เปลี่ยนไปนิดเดียวเขาสังเกตได้ทันที แต่ว่าตัวของสามีหรือภรรยาที่ไปมีชู้มีกิ๊ก เขาจะเนียนได้นานแค่ไหน ซึ่งบอกได้เลยว่า ความลับมันไม่มีในโลก” 

รูปแบบของการมีชู้ที่ชนกานต์เฝ้าติดตามสังเกตมามักจะมีรูปแบบซ้ำ ๆ กันนั่นคือ การพาไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง เดินห้าง จากนั้นก็เข้าโรงแรม ขณะที่บางกรณีก็มีการโอนเงินให้ใช้ ซึ่งถือเป็นการส่งเสียเลี้ยงดู หรือแม้แต่กรณีที่ “ชู้” เป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูสามีหรือภรรยาของผู้ว่าจ้างก็มีเช่นเดียวกัน  

“เราสืบเมียน้อยก็จริง แต่เมียน้อยบางคนก็น่าสงสาร คือตัวผู้ชายเป็นคนปิดบัง เป็นคนที่ไปบอกเมียน้อยเองว่าพี่ไม่มีเมีย ไม่มีลูก พี่เป็นโสด คือสังคมทุกวันนี้น่ากลัว การจะเข้าถึงข้อมูลของแต่ละคนก็ยาก เพราะว่ามีกฎหมายคุ้มครอง แต่ถ้าเขายินยอมให้เราตรวจ มันก็ดีแหละ แต่ผมอยากเตือนว่าไม่ควรมองข้ามสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ บางทีเขาตั้งใจมารักหรือตั้งใจมาหลอก มันอยู่ในใจเขา เราไม่มีทางรู้ แต่พฤติกรรมเราต้องรู้ให้ทัน อย่ามาอ้างทีหลังว่าไม่รู้ เพราะมันจะกลับไปแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน” ชนกานต์แนะนำ 

สังคมไทยไม่เคยปราศจาก “นักสืบชู้” 

“ปัญหาการหย่าร้างในสังคมไทยเพิ่มสูงขึ้น ก็เกิดจากอีกฝ่ายต้องการแสวงหาคนใหม่เข้ามาในชีวิต บางคนไม่ได้เจตนาเอาเข้ามาในชีวิตหรอก แต่พอไปแล้ว อารมณ์ก็พาไป สุดท้ายก็เกิดเป็นความรัก เป็นโลกอีกใบขึ้นมา มันเลยเป็นปัญหาแบบนี้ขึ้น ซึ่งถือว่าเยอะมาก ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่ผมยังไม่เป็นนักสืบ ผมจะตกใจกับเหตุการณ์แบบนี้มาก เพราะถือว่ามันเยอะเกินปกติแล้ว” ชนกานต์เผย 

เนื่องจากสังคมไทยยังเป็น “สังคมชายเป็นใหญ่” ที่ให้อำนาจในพื้นที่บ้านกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ดังจะมีสุภาษิตที่บอกว่า “ผู้ชายคือช้างเท้าหน้า ผู้หญิงคือช้างเท้าหลัง” แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไปและผู้หญิงก็เริ่มมีบทบาททั้งในพื้นที่ในบ้านและนอกบ้านมากกว่าในอดีต แต่ทัศนคติที่เชิดชูให้ผู้ชายอยู่เหนือผู้หญิงก็ยังไม่หมดไป นี่จึงเป็นปัจจัยหนึ่งของปัญหาการมีชู้ รวมไปถึง “ความไม่รู้จักพอ” ของคนที่ต้องการเสาะแสวงหาคนใหม่เข้ามาในชีวิตคู่ ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำลายสถาบันครอบครัวเช่นเดียวกัน 

“บางคนก็เรียนรู้จากวัฒนธรรมของหน่วยงาน ก่อนไม่ได้ไปทำงานรับราชการ ก่อนนั้นไม่ได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งใหญ่โต เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่พอเข้าไปแล้ว เลียนแบบพฤติกรรมเจ้านายก็มี” ชนกานต์ชี้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อถามชนกานต์ว่าอาชีพนักสืบชู้จะมีวันหายไปจากสังคมไทยหรือไม่ เขาก็ตอบอย่างชัดเจนว่า หากทัศนคติเรื่องเพศของสังคมไทยยังไม่เปลี่ยนแปลง ก็เป็นเรื่องยากที่ปัญหาการมีชู้จะหมดไป และแน่นอนว่านักสืบชู้ก็ยังคงต้องทำงานเพื่อติดตามและเก็บหลักฐานต่อไปเช่นกัน 

“ถ้าทุกคนรักครอบครัว ไม่ไปมีคนอื่น ถามว่าอาชีพเราขาดรายได้ไหม ขาดรายได้ แต่ถ้าให้ตอบว่าถ้าขาดรายได้แล้ว สังคมเราอยู่ด้วยความปกติสุข ไม่มีการไปมีเมียน้อย ไปมีชู้ มีกิ๊ก หรือมีสามีซุกซ่อนไว้ ถามว่าเราพร้อมไหมที่จะยุติ เราก็พร้อม” ชนกานต์กล่าวปิดท้าย