"จอย บียอนด์" ช็อก! พ่อทรุดเฉียตาย สุดทนเปิดวงจรปิดเห็นคนดูแลพูดจาตะดอก-ไม่เอาใจใส่
จอย บียอนด์ ดารา นักร้องสาว ช็อคคุณพ่อทรุด ระหว่างกลับมาพักฟื้นหลังเข้ารับการผ่าตัดบายพาสหัวใจ เปิดวงจรปิดเห็นพฤติกรรมคนที่จ้างมาดูแลพ่อ จากศูนย์ผู้ป่วยถึงกับอึ้ง โกรธ ตกใจ เสียใจ ในห้วงเวลาเดียวกัน
จอย-หทัยทิพย์ สีสังข์ หรือ จอย บียอนด์ ดารานักแสดง นักร้องสาว เจ้าของรางวัลตุ๊กตาทองจากภาพยนตร์เรื่อง ธรณีกรรแสง เมื่อหลายปีก่อน ถึงกับช็อค เมื่อคุณพ่อสวัสดิ์ สีสังข์ ทรุดหนัก ระหว่างพักฟื้นที่บ้านน้องชาย หลังเข้ารับการผ่าตัดทำบาสพาสหัวใจ ต้องหามส่งโรงพยาบาลเพื่อยื้อชีวิต รับไม่ได้เปิดกล้องวงจรปิด เห็นพฤติกรรมคนดูแลผู้ป่วย จากศูนย์ดูแลผู้ป่วย ถึงกับอึ้ง
จอย บียอนด์ ที่เคยหันหลังให้วงการบันเทิง เพื่อไปศึกษาต่อ และทำธุรกิจส่วนตัว ก่อนคัมแบ็กวงการอีกครั้งเพราะคิดถึงงานแสดง เปิดเผยว่า คุณพ่ออายุ 79 ปีแล้ว เมื่อไม่นานที่ผ่านมา ได้เข้ารับการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ หลังตรวจพบเส้นเลือดตีบตัน 3 เส้น ใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลกว่า 1 เดือน ก่อนกลับมาพักฟื้นที่บ้านน้องชายตน และตนได้ติดต่อไปทางศูนย์ดูแลผู้ป่วย ทางศูนย์ได้จัดส่งคนดูแลผู้ป่วยมาดูแลคุณพ่อ
"น้องผู้หญิงคนนี้เขายังวัยรุ่นอยู่ อายุน่าจะประมาณ 25-26 ปี ดูแลคุณพ่อหนูดีมากช่วงอาทิตย์แรกๆ แล้วพ่อก็สามารถเดินได้ด้วยตัวเอง หนูก็ใจชื้นขึ้นมาก คิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้สัก 3-4 เดือน ก็อาจจะทำให้คุณพ่อกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ติดเตียง"
"แต่ว่าหลังๆ ก่อนที่คุณพ่อจะทรุด คุณพ่อหนูไม่ได้ออกมาทำกิจกรรม เช่นออกมาทานข้าวหรือออกมาเดิน ออกมาทำอะไรเลย ก็เข้าใจว่าท่านคงจะแบบว่า พักฟื้น พักผ่อน ทีนี้เวลาน้องชาย กลับมาก็จะไม่เห็นคุณพ่อ เปิดประตูไปทีไรก็เห็นเขาหลับตลอด"
"พอตอนเช้าตื่นมาจะไปทำงาน คุณพ่อหนูก็บอกกับน้องน้องชายตลอดว่า คนที่ดูแลเนี่ย แบบดุ ด่าว่าเขา ตะคอก ก่อนที่จะไปผ่าตัด คุณพ่อก็เหมือนเป็นสภาวะอัลไซเมอร์ ก็เลยคิดว่า เขาพูดด้วยความเพ้อหรืออาจจะไม่จริง น้องหนูก็เลยไม่ได้ไปสนใจในจุดนั้น จนกระทั่งมาถึงเมื่อวานนี้ (22 ม.ค.65) คุณพ่อหนูไม่ออกจากห้องมาเลย"
ดารา นักร้องสาว ที่ได้รับรางวัลผู้ปิดทองหลังพระ ประจำปี 2564 จากสมาคมนักข่าวอาชญากรรมแห่งประเทศไทย เล่านาทีชีวิตของคุณพ่อต่อไป
"หนูก็ไปเยี่ยมพอดีตอนช่วงเย็น ไปเรียกเขาข้างๆ หู ไปตะโกนดังๆ เขย่าตัวไม่ตื่น หนูก็แจ้งไปทางศูนย์มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร ที่มีนบุรีนะคะแล้วก็ติดต่อศูนย์พยาบาลของเอราวัณ ติดต่อไปที่ทางโรงพยาบาลที่เรารักษา แล้วก็นำตัวคุณพ่อหนูไปส่งโรงพยาบาล"
"สภาวะการหายใจทางปาก เป็นสภาวะที่ไม่ได้หายใจทางปกติ เบื้องต้นก็คือว่าเขาช็อคน้ำตาล น้ำตาลที่เขาเป็นโรคเบาหวาน ความดันอยู่แล้ว เหลือแค่ 20 % เนื่องจากการที่ว่า ฉีดอินซูลีนสำหรับคนที่เป็นเบาหวานเนี่ย ฉีดมากจนเกินไป ทำให้น้ำตาลลด ลดมาก เพราะว่าน้องเขาจะฉีด ฉีดตลอดๆ ไม่มีเครื่องวัดน้ำตาลว่า ปริมาณนี้พอหรือยัง"
"เหมือนกับทางคุณหมอเขาตรวจเจอว่า ถ้าเราเติมน้ำตาลกลูโคสลงไป ให้ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานน้ำตาลตก ก็จะฟื้นและก็ปกติขึ้น แต่สภาวะที่อ่อนเพลีย สงสัยว่าอาจจะมีสภาวะของการกระทบกระเทือนทางศีรษะ"
"ก็เลยได้สัมภาษณ์น้องเขาไป เอ๊ะมันเกิดจากอะไร คุณลุงล้มเหรอ ก็เลยบอกว่า อ๋อ ก็ล้มหัวกระแทก แล้วก็คิดว่าไม่ได้เป็นอะไร ซึ่งเราก็ติดกล้องไว้ ฟังเสียงได้ เห็นภาพได้ เขาก็ไม่สนใจ เขาก็วัยรุ่นๆ"
จอย บอกต่อว่า ภายหลังอาการคุณพ่อพ้นขีดอันตรายแล้ว ตนได้กลับมาเปิดกล้องวงจรปิด ดูคลิปย้อนหลัง เพราะอยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมคุณพ่อที่มีอาการดีขึ้นหลังจากเข้ารับการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจ กลับมาทรุดลง และดูซึมเศร้า จนกระทั่งเห็นพฤติกรรมของคนดูแลผู้ป่วย จากศูนย์ดูแลผู้ป่วย ที่ตนจ้างมาดูแลพ่อ ถึงกับอึ้ง อีกทั้งยังรู้สึกโกรธ ตกใจ และเสียใจ รวมอยู่ในห้วงเวลาเดียว
"เราก็เลยมาถอยกล้องดู เรื่องของการปฏิบัติตัว ในช่วง 4-5 วัน ที่คุณตาเปลี่ยนไป และดูซึมเศร้า มันเนื่องจากอะไร ก็ได้เห็นน้องเขาเนี่ย ตวาด ตะคอก เหมือนเครียด เหมือนอะไรสักอย่างนึง"
"จนเห็นพฤติกรรมถอยลงไป ในกล้อง ก็จะเห็นน้องเขาดื่มเบียร์ เอาเท้าขึ้นมาดื่มเบียร์เปิดเพลง แล้วก็เปิดทีวี ทำให้เกิดการไม่ใส่ใจผู้ป่วย ซึ่งถ้าเกิดว่าเขาล้มหรือเกิดร้องเรียก อันนี้ไม่ได้ยิน ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ ไม่สมควรดื่มเบียร์ไปด้วย"
"มันเป็นความรู้สึกแบบเสียใจ โกรธ แล้วก็ตกใจ รวมกันเหมือนแบบเราช็อคไปชั่วขณะค่ะ เขาเรียกว่าอะไรอ่ะ ตะลึงอ่ะ สตั้นอะไรประมาณนี้ค่ะ แล้วก็เสียใจด้วยที่สิ่งที่เขา (พ่อ) เล่า เราไม่ได้ฟังเขา เราก็เข้าใจว่าเขาคงจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ หนูก็เลยคิดเขาอาจจะบ่นไปตามภาษา แต่ทีนี้พอเรากลับมาย้อนหลังรู้สึกผิดมาก"
อย่างไรก็ตาม จอย บอกว่า ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ ไม่ได้ต้องการดำเนินการเอาผิดใคร หากแต่อยากแชร์ประสบการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจ ระวังความตั้งใจปฏิบัติดีต่อพ่อแม่ ลูกเล็กเด็กแดง จะกลายเป็นการนำภัยเข้ามาในบ้าน เข้ามาทำร้ายคนที่เรารัก
"คุณพ่ออายุประมาณ 79 หนูจ้างเขามาในเงินเดือน 18,000 บาท ก็คือว่าให้เขามาอยู่กับคุณตาเลย แล้วก็กินนอนด้วยกันกับคุณตา แล้วก็ถ้าเกิดจะทำโอทีเนี่ย ก็ประมาณ 800 บาท"
"สุดท้ายเนี่ยมันก็เหมือนกับว่า เราเนี่ยไปเอาใครสักคนนึงมา จ้างให้ด่าพ่อเรา มันสะเทือนใจตรงที่แบบว่า เราคิดว่ามันจะมีความพัฒนาดีขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่าเราไปทำให้คุณพ่อหนูดูแย่ลง อันนี้มันเหมือนภัยในบ้าน คือเราก็ลืมเช็กว่าเขาได้จบจากไหนมา จบมาทางด้านนี้โดยตรงไหม แล้วมีความซื่อสัตย์ของอาชีพไหม แล้วรักผู้ป่วยไหม"
"จอยเรียกเขามาตักเตือนว่า เคสของพ่อพี่เป็นเคสที่ให้เป็นอุทาหรณ์ของน้อง ในการที่น้องจะต้องบริการคนอื่น อย่าให้มันเป็นแบบนี้ เพราะว่าอาจจะไม่ทันหรืออาจจะไม่โชคดีก็ได้"
"ติดต่อไปทางศูนย์ แล้วศูนย์ก็บอกว่า ถ้ามันเป็นเคสอย่างนี้ ต้องขอโทษด้วย ไม่ต้องไปจ่ายเงินให้เขา เดี๋ยวเขาจะเปลี่ยนตัวให้ แต่ทางน้องเนี่ยเขาไม่เข้าใจ เขาก็เลยคิดว่าหนูไม่จ่ายค่าแรง ก็จะไปเรียกร้องกับกรมแรงงาน อันนี้ก็เป็นเรื่องของเขา"
"หนูไม่คิดดำเนินการอะไรค่ะ ก็ขอให้คุณพ่อหนูเนี่ยโชคดี แล้วก็เปลี่ยนคนดูแลใหม่ คือหนูไม่คิดไปเอาเรื่องเอาความอะไรเขา เพราะว่าเขายังไม่ได้เกิดอะไร เพียงแต่อาจจะเกิดถ้าเราไปไม่ทัน ก็จบๆ กันไป เพราะหนูก็ไม่คิดว่าจะต้องไปมีเรื่องอะไรกับใคร"
"ที่หนูได้ออกมาพูดในวันนี้ ได้มีอุทาหรณ์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเด็กๆ เล็กๆ ที่ยังไม่รู้เดียงสาก็ดี หรือจะเป็นผู้ป่วยคุณพ่อคุณแม่เราที่เรารัก การที่จะพิจารณาใครสักคนเข้ามาดูแล"
"ต้องสกรีนว่าเขาจบจากที่ไหน จากวิชาชีพโดยตรงไหม และนิสัย ต้องเช็กมากขึ้นเป็นอุทาหรณ์ที่ดีเลย ที่หนูจะต้องระมัดระวังมากขึ้น เพราะว่าไม่อย่างนั้นอาจจะทำร้ายพ่อเราเองโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้"