เนื้อหาในหมวด ข่าว

รักลงตัวสุดๆ \

รักลงตัวสุดๆ "ณิชา" จับมือเคียงข้าง "โตโน่" เน้นการกระทำไม่พูดเยอะ

ถูกยกเป็นอีกหนึ่งคู่คลั่งรักของวงการบันเทิง สำหรับนางเอกสาว ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์ กับนักร้องหนุ่ม โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ แม้ทั้งคู่จะไม่พูดยืนยันสถานะความสัมพันธ์ แต่ดูได้จากการกระทำที่แสดงออกต่อกัน บอกเลยว่าชัดเจนสุดๆ

เมื่อ sanook.com มีโอกาสได้พูดคุยกับสาวณิชา ทั้งเรื่องได้ประชันฝีมือกับนักแสดงรุ่นพี่ หน่อย-บุษกร วงศ์พัวพันธ์ ในละคร สะใภ้สายสตรอง ซึ่งเรื่องราวกำลังสนุกสนานเข้มข้น ออกอากาศทาง ช่อง3HD พร้อมทั้งล้วงหัวใจ เปิดมุมมองความรักกับหนุ่มโตโน่แบบละเอียดยิบ

สะใภ้สายสตรอง ต้องรับมือกับแม่ผัว

“ละคร สะใภ้สายสตรอง ก็ตามชื่อค่ะ ก็เป็นสะใภ้สายสตรองที่มาสู้กับแม่ผัว เพราะว่ามันมีเหตุผลที่ทำให้เราต้องมาอยู่ในบ้านหลังนี้ แล้วก็ต้องเอาคืนอะไรบางอย่าง เพื่อสอนให้เขารู้ว่า การอยู่ร่วมกันกับคนอื่นแบบสงบสุขมันเป็นยังไง 

“รับมือพี่หน่อยก็ไหวบ้าง ไม่ไหวบ้าง(หัวเราะ) เพราะในเรื่องก็ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ เพราะบางอย่างก็เป็นเรื่องที่เราสู้ไม่ไหว ในเรื่องฟาดฟันกันตลอดค่ะ แต่ระหว่างนั้นมันก็มีการเรียนรู้ซึ่งกันและกันไปด้วย ไม่ใช่แค่สู้กันอย่างเดียว ก็เติบโตไปตามตัวละครด้วย”

“สมมุติว่ามีเรื่องนึง ที่ภาวิณีเห็นว่ามาดามนวล ทำไมตรรกะเพี้ยนขนาดนี้ เขาก็จะหาวิธีสอนให้รู้ ว่าการที่ทำแบบนี้ คนรอบตัวจะเป็นยังไง สิ่งที่คุณจะได้คืออะไร แต่มันไม่ใช่แค่การเดินเข้าไปบอก เพราะเรารู้ว่าคนอย่างมาดามนวลไม่ฟัง เราก็จะใช้วิธีบางอย่าง ที่สอนให้เขารู้ว่าแบบนี้มันไม่ใช่”

ร่วมงานกับ หน่อย บุษกร

“สนุกมากค่ะ คือพี่หน่อยเต็มที่มาก แล้วก็ตลกมาก เวลาเราคุยกัน ไม่ได้เกร็ง แต่จะเกรงใจ ที่แบบต้องลงไม้ลงมือ จับแขน ทำอะไรที่ถึงเนื้อถึงตัว จะรู้สึกว่าเกรงใจ กลัวแม่เจ็บ คือในฉากไม่ได้ถึงกับหยุมหัว แต่จะเป็นการแบบลากไปก็จะระวัง ถ้าเรื่องผิดคิวไม่มีค่ะ เพราะเราพยายามระวัง”

ณิชาต้องเล่นคอมเมดี้

เยอะค่ะ เพราะทั้งเรื่องจริงๆ เป็นโรแมนติกคอมเมดี้ แต่ระหว่างเรากับแม่ มันเป็นเรื่องดราม่ามากกว่า แต่ทั้งเรื่องมันแทบจะตลก จริงๆ เรื่องนี้ก็ไม่ได้ตลกโบ๊ะบ๊ะ จะเป็นธรรมชาติสบายๆ คือตอนเล่นไม่ได้เป็นฟิวตลกจ๋าขนาดนั้น แต่จะเป็นสบาย ดูแล้วอบอุ่น ส่วนตัวก็ชอบแนวนี้ เพราะไม่ได้เล่นแนวนี้มานานแล้ว ก็รู้สึกว่าท้าทายดีเหมือนกัน ทั้งที่จริงๆ ก็ชอบดราม่า”

“แต่แนวนี้ก็ชอบเหมือนกัน แต่เล่นคอมเมดี้ก็เหนื่อยนะ เพราะมันต้องทันทุกอย่าง ใช้ความรู้สึกคนละแบบ ต้องเรียนรู้อะไรใหม่ๆ คือมันคนละแบบ เครียดดราม่าใช่อยู่แล้ว เพราะตัวละครเจออะไรหนักๆ แต่อันนี้มันเป็นเรื่องของจังหวะด้วย ยิ่งเข้ากับพี่อ่ำ คือแกเต็มที่มาก จังหวะโบ๊ะบ๊ะของแก เราเป็นลูกสาวพ่อ ก็ต้องก็อบกิริยาบางอย่างของแกมาไว้ในตัว ซึ่งแกใช้พลังเยอะมากในแต่ละซีน”

ได้อ่านบทตอนแรกเป็นยังไง

“ก็ยังเอ๊ะ จะเล่าไปในแนวไหนมากกว่า ตอนที่เปิดมาหน้าแรก แล้วยังไม่ได้อ่านทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาละครแม่ผัวลูกสะใภ้ เราก็จะเห็นรูปแบบประมาณหนึ่ง แต่เราอ่านไปเรื่อยๆ เราเริ่มรู้สึกสนุก ทั้งวิธีการเอาคืน หรือเรื่องที่เราทะเลาะกัน มันคือเรื่องสมัยนี้มากๆ ที่เขาหยิบมาปรับให้เข้ากับปัจจุบัน บางอย่างเป็นเรื่องของตรรกะความคิดของแต่ละคน”

คนดูจะได้อะไรมากกว่าละครแม่ผัวลูกสะใภ้ที่เคยดูมา

“ไม่แน่ใจว่า ละครแม่ผัวลูกสะใภ้ ในแบบเก่า ในอดีตเป็นยังไง เพราะไม่ค่อยได้ดูขนาดนั้น แต่สำหรับเรื่องนี้ที่ชอบเลยก็คือว่า มันไม่ได้เป็นปัญหาที่ไกลตัว ณิชาเชื่อว่าบางอย่างเป็นเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ เชื่อว่ามีหลายที่เคยเจออะไรแบบนี้ เพราะต่างคนต่างความคิด วิธีเลี้ยงลูกของเขา ทั้งการเติบโตของเราที่ไม่ตรงกัน ทำยังไงถึงจะอยู่ร่วมกันแบบมีความสุข”

เก็บนำไปปรับใช้กับตัวเองในอนาคต

“ไม่ค่ะ(หัวเราะ) เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าจะเจอแบบไหน คิดว่าไม่มีนะคะ ถ้าเจอแม่ผัวหนักๆ ก็คิดหนักเหมือนกันนะ (หัวเราะ) มันต้องอยู่ที่ตัวเรา กับคนข้างๆ เราด้วยนะ เพราะถ้าคนข้างๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเจอ เราก็คงเหมือนสู้อยู่คนเดียว”

“แต่ถ้าคนข้างๆ เขาเข้าใจเรา เรารู้ว่าเรารักแม่เขา มันก็ต้องค่อยๆ ช่วยกัน หนูก็โอเค อาจเลือกทางเดียวกับภาวิณี แต่คงไม่ต้องโหดขนาดนั้น เพราะในเรื่องมันหนัก เราก็ไม่อยากเจอแบบนั้น คิดว่าไม่เจออยู่แล้ว หนูว่าแวดล้อมหนูดีนะ ไม่น่าเจออะไรแบบนั้น (หัวเราะ)”

ประสบการณ์แม่หวงลูกชาย

โชคดีค่ะ ไม่ค่อยเจอ แม่หนูก็ไม่หวง ไปเลยลูก(หัวเราะ) หนูไม่เคยเจอคนรอบตัวที่ขัดแย้งกันขนาดนั้น คือถ้าจะอยู่ด้วยกัน มันก็ต้องปรับจูนกัน แม่ผัวแบบนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด เขาอาจเจออะไรมา เลยทำให้เขากลายเป็นแบบนี้ ซึ่งมันต้องใช้ความรักและความเข้าใจ และไปกันต่อ ในชีวิตจริงหนูรายล้อมด้วยคนที่โอเค ความคิดโอเคต่อกันประมาณนึง คือมันก็แล้วแต่สถานการณ์ อย่างในละครผู้ชายก็ไม่ได้หน้ามืดเข้าข้างแม่”

ในเรื่องพยายามทำให้พระเอกเห็นมุมร้ายๆ ของแม่เขา

“ใช่ค่ะ คือตอนแรกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าประมาณไหน แต่เรารู้ว่าสิ่งที่มาดามนวลทำ แน่นอนว่าทำให้พี่สาวเราตาย เพราะฉะนั้นมันคือเรื่องใหญ่มากเหมือนกัน มันก็เลยเป็นเหตุผลที่เราเข้ามา และเราเข้ามาดูแลลูกของพี่สาวเรา ที่พี่สาวเราฝากไว้ด้วย ซึ่งจริงๆ มันก็มีดราม่าเหมือนกัน มันมีปมว่าใครทำให้พี่สาวเราตาย”

เรื่องนี้กลับมาประกบคู่ ภณ ณวัสน์  อีกครั้ง

“ใช่ค่ะ ก็กุ๊กกิ๊ก เลิฟซีนกันประมาณหนึ่ง ด้วยความที่อยู่บ้านเดียวกันมันจะต้องมี ทั้งจับมือผ่านกันไป มีเรื่องที่ตีกันบ้าง ถามว่าคาดหวังมั้ย ไม่ได้คิดอะไรไว้เลย ปกติก็ทำงานของตัวเอง ไม่ได้คาดเดา คาดหวัง แต่อยากให้ทุกคนสนุก ดูแล้วเพลินๆ หนูเองก็ติดถ่ายละครอีกเรื่อง ก็คงไม่ได้ดู”

แพลนงานปีนี้ของณิชา

“ปีนี้มีละครที่กำลังจะเปิดกล้องของพี่เจ็ท เล่นกับ เจมส์ มาร์ และมีหนัง 14 อีกครั้ง ซึ่งปีนี้ยังรับได้อีก แต่ละครอยากรับทีละเรื่อง แต่ถ้าถ่ายสั้นๆ 3-4 เดือน พอไหว ถ้าถ่าย 8 เดือน พร้อมกันคงไม่ไหว”

ความรักของคู่เราเป็นแบบไหน

“สบายๆ ตามธรรมชาติ ตามความรู้สึก ปรับจูนกันบ้าง เพราะเราโตมาคนละแบบ เหมือนที่พี่โน่เคยบอกว่า ฉันไม่ได้เข้ามาจะจีบเธอ แต่มันคือการรู้จักกันมาเรื่อยๆ แล้วมันสบาย เพราะเราไม่ต้องคาดหวัง มันเลยเป็นตัวของตัวเอง จนถึงวันนี้ เรารู้จักกันมากขึ้น หนูก็ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหน”

“อนาคตเราก็ไม่ได้มองขนาดนั้น เหมือนที่บอกเราเป็นคนไม่ได้จำกัดอะไร เหมือนมันรู้จักกันมากขึ้น เพราะถ้าบอกเข้าใจกันมากขึ้น แต่เดี๋ยวมันก็ต้องมีเรื่องไม่เข้าใจกันอีก มันเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ แต่มันไม่ได้มีอะไรตายตัว เพราะความเชื่อของหนู มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมได้ตลอด แม้กระทั่งตัวเราเอง ยังเปลี่ยนความคิดได้ภายใน 1 วัน กับบางเรื่อง มันต้องเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ”

เคยมีทะเลาะกันบ้างไหม

“มันคิดไม่ออก มันไม่ถึงกับคิดไม่ตรงกัน ไม่ถึงกับต่อสู้กัน อย่างเรื่องสุขภาพ เป็นห่วง คือมันก็เรื่องธรรมดา ทะเลาะกันไม่ได้ถึงขั้นทุบกัน คือเราปรับจูนกัน แบบเอายังไงดี เราเป็นแบบนี้ คุณเป็นแบบนี้”

เป็นคนใจเย็นทั้งคู่

“หนูไม่ได้โวยวาย แต่เราใจร้อนกว่า แต่ไม่ได้โวยวายจุกจิก เพราะพี่โน่ใจเย็นมาก จนเราคิดว่าเราเป็นบ้าหรือเปล่า ก็ดีที่ทำให้เราใจเย็นไปด้วย คือเขาสงบแบบเย็นมาก ยิ่งรู้จักเราเหมือนรู้วิธีคุยกันง่ายขึ้น”

ที่ผ่านมาโตโน่มีกระแสข่าวเยอะมาก

“คือมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เราพูดกันบ่อยๆ เพราะเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร คือตอนที่หนักมากๆ เราไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ทำ อยู่ตรงนั้นเฉยๆ เพราะบางทีไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เหมือนเราแสดงให้เห็นดีกว่า ว่าเราอยู่ตรงนี้

คอยอยู่เคียงข้างเขาตลอด

“ใช่ค่ะ จริงๆ หนูทำอะไรพี่โน่ก็อยู่เคียงข้างตลอดเหมือนกัน แต่คนอาจจะเห็นอีกด้านมากกว่า”

คู่เราไม่เน้นพูด แต่ทำให้เห็นมากกว่า ต่อให้มีดราม่าอะไรก็ไม่ทิ้งกัน

“ก็คือให้กำลังใจกันค่ะ คือไม่ได้หยิบมาเป็นท็อปปิกหลักเวลาพูดบ่อยๆ เพราะบางอย่างเราไม่ได้ไปโฟกัส หรือไปจับอยู่แค่สิ่งนั้นสิ่งเดียว ชีวิตเรายังมีงานต้องทำ มีอีกหลายอย่างที่เราต้องรับผิดชอบ ก็เลยไม่ได้ไปจม แล้วก็มานั่งคุยกันแต่เรื่องนี้”

เขาโดนดราม่าหนัก บ่นท้อหรือระบายให้ฟังไหม

“ระบายน้อยมากค่ะ เขารู้อยู่แล้วว่าเราเป็นห่วง บางทีเราเลยไม่รู้จะพูดอะไร เขาเองก็ไม่ได้พูด เขาไม่ระบายเพราะไม่อยากให้เราเครียดหรือเปล่า อันนี้ต้องถามเขาค่ะ (หัวเราะ) คือมันมีการคุยกันบ้าง แต่มันใช่ท็อปปิคหลักที่คุยกันบ่อย เพราะเราก็รู้อยู่แล้ว ว่าทำงานต่างๆ มันต้องเจอทุกมุมมองจากหลายๆ คน”

“คนเรามันก็มองไม่เหมือนกัน แล้วก็ห้ามความคิดใครไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่เรารู้ได้คือตัวเราเอง ว่าเราทำอะไรอยู่ เราเป็นยังไง เราคงไปวิ่งตามทุกกระแส หรือว่าเอาใจไปอยู่กับตรงนั้นอย่างเดียวมันก็คงไม่ใช่ เราต้องทำงาน ทำหน้าที่ที่เราทำอยู่ต่อไปให้ดีด้วย เพราะถ้าเราไปโฟกัสอยู่กับแต่ตรงนั้น หรือให้มันมาเป็นเรื่องหลักในชีวิต ทุกอย่างเราก็พังไปหมดเลย มันก็คงต้องค่อยๆ ที่จะเรียนรู้ที่จะเข้าใจกับสิ่งเหล่านี้”

บางคนบอกว่าอยู่ในวงการต้องจิตแข็ง

“หนูว่าทุกวงการ มันมีการพูดถึงหมด มันมีการนินทา มีการซุบซิบ มีการพูดบิดเบือน มันมีหมดทุกวงการอยู่แล้ว แต่อย่างหนึ่งที่หนูคิด คือความคิดหรือคำพูดของคนอื่น มันเปลี่ยนความเป็นเราไม่ได้หรอกค่ะ แค่เรารู้ว่าตัวเราทำอะไรอยู่ แล้วมันเป็นยังไง แค่นั้นมันก็ดีมากๆ แล้ว”

วิธีรับมือเรื่องดราม่า

“ถ้าเจอด้วยตัวเอง หนูก็คงพิจารณาก่อน ว่าเราทำอะไรไปบ้าง ถ้าอันไหนที่เราทำไปแล้วมันไปกระทบใครจริงๆ หรือว่าเราทำไปแล้ว เราคิดน้อยจริงๆ หรือเราทำไปแล้ว มันมีคนได้รับผลกระทบ เราก็คงยอมรับในส่วนนั้น ว่าอันนี้เราทำผิดจริงๆ เกิดอะไรขึ้นจริงๆ เราก็ยอมรับไป แต่ถ้าอะไรที่ไม่จริง หนูก็จะรู้สึกว่าไม่เป็นไร ก็ปล่อยค่ะ เขาก็แค่คนไม่รู้คนหนึ่ง เขาไม่ได้มาอยู่กับเราทุกเวลา 24 ชั่วโมง แล้วมันก็คงเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะนั่งไล่บอกทุกคนให้เขาเข้าใจเรา เราคงทำให้คนท้้งโลกเข้าใจเราไม่ได้ ก็เลยกลับมาดูที่ตัวเองมากกว่า”

“สมมติเขาคอมเมนต์มาว่าอันนี้เราต้องปรับปรุงจริงๆ มันก็เป็นประโยชน์กับเรา แต่อันไหนที่บอกว่าเราแย่ เราไม่สวย ก็ปรับให้ไม่ได้ หน้ามันเป็นอย่างนี้ (หัวเราะ) แต่ก็คงจะบอกว่าไม่เป็นไร สวยของคุณ กับสวยของเราอาจจะไม่เหมือนกัน หรือว่าเราเป็นแบบนี้ เราจะทำอะไรให้ได้ นั่นน่าจะเป็นปัญหาของเขาแล้ว ที่เขาติดใจอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ปัญหาของเรา”

“แต่ถ้าโอเค ณิชายังแสดงได้ไม่ดี ต้องพัฒนาตรงนี้ เขายังไม่อินอย่างงี้ อันนี้เป็นประโยชน์หมดเลย เราก็พัฒนาตัวเอง มันก็เหมือนต้องกรองก่อน ว่าอะไรอยู่ชั้นที่เราจะไม่เอาลงมาใส่ใจมาก ก็เอาไว้ไกลๆ ตัวนิดนึง หรืออะไรที่เป็นประโยชน์ เราก็เอามาพัฒนาตัวเอง”

โตโน่ทำอะไรสุดโต่งมาก เราต้องรับมือกับเขายังไง

“หนูไม่ต้องรับมืออะไรกับเขา ถ้าเรื่องสุขภาพร่างกาย หนูเป็นห่วงเป็นพื้นฐานปกติอยู่แล้ว คือเวลาถ่ายละครแล้วเขาเล่นเองทั้งหมด ด้วยความเต็มที่ของเขาจริงๆ ก็เป็นห่วงแล้วค่ะ ทำไมต้องเล่นเอง ต้องโดดเอง เตะต่อยเองทุกอย่างขนาดนั้น แต่ก็เข้าใจได้ในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง เขาก็อยากจะเต็มที่ เขาก็รู้ว่าอะไรเซฟไม่เซฟสำหรับเขาแหละ เราก็เป็นห่วง แต่ก็รอซัพพอร์ต”

อยู่กับเราเขากลายเป็นหนุ่มขี้อาย

“ก็ขี้อายกับทุกคนอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนะ ในบางเรื่องถ้าจะให้อยู่ดีๆ มาเต้น เขาก็ไม่ทำ(หัวเราะ) แล้วแต่เรื่องค่ะ ความกวนเขาก็กวนเป็นเรื่องปกตินะ หนูเห็นเวลาเขาไปออกรายการสัมภาษณ์ เขาก็กวนเป็นปกติอยู่นะ แต่ในตอนนี้ที่หนูมาเจอพี่เขา เขาก็เป็นคนนิ่งอยู่แล้วค่ะ เวลาเขาสัมภาษณ์เขาเป็นคนนิ่งมาก แล้วเวลาพูดอะไรเขาจะคิด คิดถี่ถ้วนจนหนูกลายเป็นคนพูดไม่คิดไปเลยในบางที”

“อย่างเขากับที่บ้านเอง กับแม่ กับคนรอบตัว กับวงเขา เวลาจะทำงานหรือคุยงานอะไร เขาจะคิดเยอะมากก่อนที่จะพูดออกไป เขารู้สึกว่าเวลาพูดไปแล้วมันเอาคืนไม่ได้ บางทีหนูคุยด้วยจริงจัง หนูก็ต้องลุ้นว่าเขาจะตอบอะไร(หัวเราะ) ซึ่งดีนะคะ มันทำให้หนูปรับตัว หนูรู้สึกว่าคิด ดีกว่าไม่คิดเลย หนูก็คิดมากขึ้นไปด้วย เวลาจะพูดอะไรก็รู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น เพราะเมื่อก่อนคิดปุ๊บพูดเลย พูดจนแม่บอกว่าใจเย็นๆ เมื่อก่อนแม่ก็คือจะแบบว่าหยุดก่อน บางอย่างไม่ต้องทันทีก็ได้ ซึ่งหนูก็ดีขึ้นเรื่องนี้”

โตโน่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง

“ก็ค่ะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ ความนิ่งของเขามันก็ดีกว่าจริงๆ ดีกว่าไม่คิดเลย อย่างน้อยเราอาจจะเซฟใจคนฟัง หรือว่าอะไรต่างๆ ได้ บางทีตรงเกินไปมันก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร”

มีเรื่องที่เขาดุเราบ้างไหม

“ถ้าดุเราก็จะเรื่องกินนี่แหละค่ะ หนูชอบสั่งอาหารเยอะ กินไม่หมด คือเวลาหนูหิวหนูจะอยากกินหลายรสชาติ ก็จะสั่งทุกรสชาติที่หนูอยากกิน แล้วมันก็เหลือ แต่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ กับออกกำลังกาย แต่ก็ไม่เชิงดุค่ะ เขาจะบอกว่าออกกำลังกายบ้างได้แล้ว ถ้าวันไหนหนูไปออกกำลังกาย เขาจะดีใจกับหนูมากๆ เลย”

โตโน่บวชแล้ว มีแพลนจะเบียดเลยไหม

“ไม่เบียดค่ะ(หัวเราะ) ยังไม่ได้คุยกันเรื่องนี้ค่ะ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดแล้ว หนูก็ยังอยากสนุกกับสิ่งที่ทำ เขาก็เหมือนกัน มันยังไม่ได้ต้องแพลนอะไร หนูไม่ได้ชอบแพลนชีวิตขนาดนั้น หนูชอบปล่อยให้มันเป็นไปตามที่เราทำดีที่สุดทุกวันนี้”

สร้างครอบครัว มองอนาคตร่วมกัน

“ก็ถ้ามันดี มันก็เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ค่ะ มันฟิกไม่ได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่หนูโฟกัสคือ ชีวิตหนู ครอบครัวหนู การทำงานหนู คนรอบข้าง แค่นั้นนะคะ ไม่ได้คิดเลยว่ามันต้องเป็นรูปแบบไหน ในตอนแก่หรือตอนอะไร เพราะว่าสิ่งที่มันอยู่ตอนนี้ มันสำคัญกับหนูเหมือนกัน งานที่ทำอยู่ ละครทุกเรื่อง หนังทุกเรื่องที่เล่น งานทุกงานที่ทำ มันสำคัญกับหนูหมดค่ะ มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าปัจจุบันสำหรับหนูนะ”

อยากแต่งงานอายุเท่าไหร่

“ก็แล้วแต่คน แต่ว่าหนูไม่ได้คิดเลย แบบเลย หนูยังร้อยเปอร์เซ็นต์มากกับชีวิตตัวเอง มันเลยยังไม่ได้คิดพาร์ตอื่น หรือว่าสเต็ปไหน ต้องเป็นแบบไหน”

เคยคุยเรื่องอนาคตกันจริงจังไหม

“ไม่เลย แล้วแม่หนูก็ชิวมากค่ะ คือมันไม่มีอะไรมาฟิกกันได้ เดี๋ยวมันถึงวันนั้นก็จะรู้เอง ตอนนี้มันร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่กับตัวเองมากๆ ยังอยากไปเที่ยวกับเพื่อน ยังอยากอยู่กับที่บ้าน ยังอยากทำอะไรของตัวเองเยอะมาก ไม่ใช่แค่การแสดง มันยังมีหลายอย่างที่อยากทำ”

ต่อให้โตโน่อายุมากขึ้น เขาก็จะรอเรา

“ไม่มีใครรอใครค่ะ ทุกคนก็ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ได้เร่งค่ะ ก็ต่างคนต่างเต็มที่ในพาร์ตของตัวเอง”

คนที่เราจะแต่งงานด้วยต้องเป็นแบบไหน

“ไม่รู้เลยค่ะ หนูไม่รู้ว่าอีก 5 ปีหนูจะเป็นคนยังไง อีก 10 ปีจะเป็นคนยังไง ความคิดหนูจะเป็นแบบไหน หนูเลยไม่มีไงคะ ว่ามันต้องเป็นแบบไหน อยู่กับปัจจุบัน อย่างที่หนูบอก เรื่องที่หนูเชื่อคือคนเราเปลี่ยนไปทุกวัน หนูไม่สามารถฟิกอะไรที่มันตายตัวได้ แค่ตอนนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้มันเป็นแบบนั้น แล้วอะไรที่มันจะพอดีกับเรา ก็ให้มันอยู่กับเราแค่น้้นเอง มันฟิกอะไรไม่ได้ ตอบไม่ได้เลย”

ตอนนี้โตโน่อยู่ในเวอร์ชั่นที่เราโอเค

“ตอนนี้มันโอเคกัน มันเข้าใจกัน อยู่ด้วยกันแล้วมันดี มันก็โอเคค่ะ”