“เมธี ลาบานูน” นักการเมืองหน้าใหม่ ขวัญใจแฟนเพลง
Highlight
- เพราะเจตนารมณ์ที่จะยกระดับสังคมบ้านเกิดให้ดีขึ้น ทำให้ “เมธี ลาบานูน” ตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางสายการเมือง โดยเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดนราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์
- เมธีชี้ว่า “การศึกษา” เป็นประเด็นที่ต้องถูกให้ความสำคัญมากที่สุดในแง่ของการพัฒนาประเทศ โดยเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ หากประชาชนเข้าถึงการศึกษา ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเจริญขึ้นแบบก้าวกระโดด
- เมธีสะท้อนว่าการเมืองต้องเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ ที่เข้ามาช่วยกันกำหนดเส้นทางว่าประเทศไทยควรจะไปทางไหน สังคมนี้ควรจะไปทางไหน และหมดเวลาของการทะเลาะเบาะแว้งกันแล้ว
หลังจากเปิดตัวเป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดนราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ “เมธี อรุณ” หรือเมธี ลาบานูน ศิลปินมากความสามารถ ตำแหน่งนักร้องนำแห่งวงลาบานูน ก็มุ่งมั่นทำงานการเมืองอย่างเต็มที่ ทั้งการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้าน และล่าสุดกับผลงานเพลง “เช้าวันใหม่” ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ ๆ ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ หวังดึงดูดคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นกำลังสำคัญของการพัฒนาประเทศ ให้เทใจให้กับพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองของเมธีก็ทำให้เขาต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของแฟนเพลง แต่ด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศ เขาจึงไม่ยอมให้โอกาสที่มาถึงหลุดลอยไป Sanook พูดคุยกับนักการเมืองหน้าใหม่ ขวัญใจแฟนเพลง ผู้ตั้งใจเข้ามาเล่นการเมือง หวังจะช่วยพัฒนาบ้านเกิดของตัวเองและประเทศให้เจริญก้าวหน้า
จากนักร้องสู่นักการเมือง
“พี่ออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 15 ปี มาเรียนที่กรุงเทพมหานคร พอถึงเวลาหนึ่ง เรากลับไปอยู่บ้าน เราก็รู้สึกว่าบ้านของเราสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ แล้วการที่เราจะพัฒนาให้ได้มากกว่านี้ หมายถึงต้องเป็นมิติทางการเมือง ที่จะสามารถขับเคลื่อนสังคมได้ ก็เลยรู้ว่าเอาวะ” เมธีเริ่มต้นเล่า
เพราะเจตนารมณ์ที่จะยกระดับสังคมบ้านเกิดให้ดีขึ้น ทำให้เมธีตัดสินใจเลือกเดินเข้าสู่เส้นทางสายการเมือง โดยเมธีลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลปัญหาของชาวบ้าน จนพบว่าในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา มีปัญหามากมายที่รอให้ดำเนินการแก้ไข ทั้งปัญหาเยาวชน ปัญหาเรื่องปากท้อง หรือการกระจายรายได้ไปสู่ชุมชน
“แฟนคลับบอกว่าไม่น่ามาลงการเมืองเลยพี่เมธี อยู่ดี ๆ ก็ดีแล้ว มาลงการเมืองทำไมให้เปลืองตัว แต่มันไม่ใช่แบบนั้น ถ้าเราไม่ได้ขับเคลื่อนไปทางนี้ สุดท้ายครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา เจตนารมณ์สำคัญที่สุด ชีวิตคนเราอยู่ดีกินดี แต่ท้ายสุดบ้านเมืองของเราเป็นอย่างไร เราไม่รู้ มันน่าเสียดาย หากวันหนึ่งเรามีโอกาส เราก็อยากทำให้เกิดประโยชน์ให้แก่ส่วนร่วม อยากทำประโยชน์ให้กับบ้านเมือง อยากทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติ”
คนรุ่นใหม่ในแวดวงการเมือง
“พี่เลือกประชาธิปัตย์ เพราะประชาธิปัตย์ให้โอกาสพี่ พรรคนี้ให้โอกาสคนรุ่นใหม่มานำเสนอแนวคิดของคนรุ่นใหม่ เราอย่าไปมองในมิติการเมืองเพียงอย่างเดียว เพราะมิติการเมืองมีแต่เรื่องเถียงกัน มีแต่เรื่องด่ากัน ในเมื่อเขาให้โอกาสเราทำ เราก็จะเอาสิ่งใหม่ ๆ สร้างสรรค์มานำเสนอ แล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือพรรคยอมรับ พรรครับได้ เหมือนเพลง “เช้าวันใหม่” ซึ่งเราคิดว่าคงไม่เกิดขึ้น แต่พอพรรคให้โอกาสพี่ทำ มันน่าตื่นเต้น พรรคยอมรับมันเป็นแบบนี้นี่เอง พี่เลยรู้สึกดีใจที่พรรคกำลังปรับอะไรบางอย่าง เพื่อให้ทันต่อยุคนี้ ทันต่อเหตุการณ์และสถานการณ์ตอนนี้”
เมื่อถามประเด็นแวดวงการเมืองในสายตาของเมธี มีความเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน หลังจากที่ตัดสินใจก้าวเข้ามาสวมบทบาทนักการเมือง เขานิ่งคิดอยู่หนึ่งอึดใจ ก่อนยอมรับว่าวงการการเมืองในสายตาของเขาเปลี่ยนแปลงไปบ้างเหมือนกัน
“พออายุ 40 เรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว ยุคนี้เราต้องทำ คนอายุ 70 - 80 ทะเลาะกัน แต่คนที่ต้องรับคือรุ่นเรา เพราะฉะนั้นเราเลยรู้สึกว่า หมดเวลาทะเลาะกันแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพัฒนา โอเค เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ แต่เรากำลังจะบอกว่า เราต้องการให้ประเทศนี้พัฒนาเดินไปข้างหน้า และคนที่จะมาพัฒนาประเทศนี้ได้ มันต้องเป็นรุ่นเรา ทุกพรรคการเมืองต้องมีเจเนอเรชันแบบนี้ ที่เขาต้องการมิติพัฒนา”
“ไม่งั้นก็จะมีแต่คำว่าขั้วนั่นขั้นนี่ เถียงกันเละเทะ ถามว่าเถียงกันแล้วได้ประโยชน์อะไร รุ่นลูกหลานของเราได้ประโยชน์อะไร เราจะอยู่ท่ามกลางบริบทแบบนี้อีก 20 ปีเหรอ ผมว่าไม่ใช่แล้ว เพราะฉะนั้นคนรุ่นพวกเราต้องกระโดดลงมาทำการเมือง กำหนดเส้นทางว่าประเทศไทยควรจะไปทางไหน ต้องกำหนดว่าสังคมนี้ควรจะไปทางไหน เราอยากเห็นการเมืองที่เป็นการเมืองสร้างสรรค์”
การศึกษาคือรากฐานพัฒนาประเทศ
เมธีชี้ว่า “การศึกษา” เป็นประเด็นที่ต้องถูกให้ความสำคัญมากที่สุดในแง่ของการพัฒนาประเทศ โดยเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ หากประชาชนจำนวนมากสามารถเข้าถึงการศึกษาได้ ก็จะส่งผลให้ประเทศไทยเจริญขึ้นแบบก้าวกระโดด
“พี่อยากให้ทุกคนมีการศึกษาเยอะ ๆ เพราะพี่เชื่อว่าประเทศไหนก็แล้วแต่ที่มีคนเรียนหนังสือเยอะ ๆ ประเทศนั้นจะมีความเจริญรุ่งเรือง นั่นคือจุดเริ่มต้นของทั้งหมด ดังนั้น กระทรวงศึกษาธิการต้องเป็นกระทรวงที่เป็นไฮไลต์ของประเทศนี้เลย บางคนอาจจะเชื่อว่าไม่หรอกมั้ง ทำถนนก่อนก็ได้ แต่สุดท้ายแล้ว การศึกษาจะเป็นตัวตั้ง เชื่อว่าถ้าประชาชน 70% เรียนจบปริญญาตรี มีการศึกษาหมด ประเทศไทยจะเจริญแบบก้าวกระโดดเลย”
ทั้งนี้ เมธีสะท้อนว่าชาวบ้านในพื้นที่ยังต้องการให้รัฐบาลช่วยสร้างงานสร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ รวมไปถึงการมีคนที่สามารถทำหน้าที่ “ตัวแทนของประชาชน” ได้อย่างแท้จริง
ทำให้ประชาชนมีความสุข
“เวลาเราแต่งเพลง เราก็อยากให้ประชาชนมีความสุข พอเป็นนักการเมือง เราก็อยากอยู่เคียงข้างเขา ทำยังไงก็ได้ให้เขาอยู่ดีกินดี แต่ความแตกต่างของสองบทบาทนี้คือวิธีการ วงการเพลงไม่จำเป็นต้องลงลึก แต่การเมืองต้องไปสัมผัสกับวิถีชาวบ้านจริง ๆ ว่าเขาอยู่อย่างไร เขาเป็นแบบไหน ชุมชนของเขาเป็นแบบไหน ซึ่งวงการบันเทิงไม่มีจุดนี้ แต่เป้าหมายเหมือนกัน นั่นคือการทำให้ทุกคนมีความสุข”
แม้จะกระโดดเข้ามาสู่การทำงานการเมืองอย่างเต็มตัว แต่เมธีก็ยังไม่ทิ้งงานดนตรีเสียทีเดียว เพียงแต่ในช่วงการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง เขาอาจจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการทำงานการเมืองเสียก่อน ดังนั้น เมธีอาจจะมีทิศทางทั้งในวงการเพลงและวงการการเมืองที่ชัดเจนมากกว่านี้ หลังการเลือกตั้งผ่านพ้นไป
“ขอฝากถึงแฟน ๆ ลาบานูนว่าให้เชื่อมั่นในตัวพี่ และหวังว่าแฟนคลับลาบานูนจะให้การสนับสนุนลาบานูนทุกครั้ง ถึงแม้ว่าแฟนคลับจะสนับสนุนพวกเราตอนที่อยู่ในวงการบันเทิง แต่ก็หวังเหลือเกินว่าตอนที่เราอยู่ในวงการการเมือง แฟนคลับของเราก็ยังเชื่อมั่นในตัวลาบานูนเหมือนเดิม แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่อยู่เคียงข้างเรามาเสมอ” เมธีกล่าวขอบคุณทิ้งท้าย