6 โรคเสี่ยงตายจากการนอนกรน หนุ่มๆ รู้ไว้! ก่อนอันตรายถึงชีวิต
ปัญหานอนกรนไม่เพียงสร้างความรำคาญให้กับคนใกล้ตัว แต่ยังมีอันตรายร้ายแรงที่หนุ่ม ๆ อาจคาดไม่ถึง จากผลวิจัยมากมายยังพบว่าในผู้ชาย มีปัญหาการกรนที่รุนแรงมากกว่าในผู้หญิงอีกด้วย หากใครที่มีปัญหาทุกคืนติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่ควรประมาท ลองมารู้จักกับ 6 โรคต่อไปนี้ที่มีจุดเชื่อมโยงกับการนอนกรน บอกเลยว่าอันตราย เสี่ยงเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
1.โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
การนอนกรนนำมาซึ่งภาวะหยุดหายใจแบบชั่วขณะ แต่บ่อยครั้งติดต่อกันตลอดทั้งคืนได้ ส่งผลให้ร่างกายมีคาร์บอนไดออกไซด์สะสมมากกว่าปกติ เป็นเหตุให้หลอดเลือดทำงานผิดปกติ นำไปสู่การเกิดโรคอัมพฤกษ์ หรืออัมพาตที่รุนแรงตามมาได้
2.โรคหัวใจ
การนอนกรนที่รุนแรงจะทำให้หัวใจมีการเต้นผิดจังหวะเกิดขึ้นได้ มักเชื่อมโยงกับภาวะหยุดหายใจขณะหลับ ยิ่งนอนกรนเป็นเวลานาน ยิ่งทำให้หัวใจทำงานหนัก เพราะมีคาร์บอนไดออกไซด์มาก ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา กระตุ้นให้หัวใจทำงานหนัก และนำไปสู่โรคหัวใจในที่สุด
3.โรคไมเกรน
แม้ว่าโรคไมเกรนจะไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่หากเป็นอาการปวดที่รุนแรง สามารถทำลายคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างหนักได้เลยทีเดียว ซึ่งการนอนกรนจะไปทำให้โรคดังกล่าวถูกกระตุ้น มักมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ หลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่นตกใจเสียงกรนของตัวเองกลางดึก ทำให้การนอนหลับได้รับผลกระทบตามมา
4.โรคสมองเสื่อม
การทำงานของระบบประสาทจะถูกทำลาย เนื่องจากการหายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกายได้ไม่หมดในช่วงนอนกรน ทำให้เซลล์สมองเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว นำไปสู่การเกิดโรคสมองเสื่อมที่รุนแรงตามมา
5.โรคกรดไหลย้อน
เนื่องจากการกรนมาจากระบบหายใจถูกอุดกั้นขณะหลับ เสี่ยงต่อการเกิดโรคกรดไหลย้อนเพราะความดันที่ไม่สม่ำเสมอบริเวณหลอดอาหาร ทำให้อวัยวะดังกล่าวทำงานผิดปกติ เมื่อนอนกรนเป็นเวลานานติดต่อกัน มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคกรดไหลย้อนได้ง่าย และอาจรุนแรงจนทำให้หลอดอาหารถูกทำลายได้เลยทีเดียว
6.โรคความดันโลหิตสูง
ผลกระทบจากการนอนกรน เชื่อมโยงกับการทำงานของสมอง หลอดเลือดหัวใจ ระบบย่อยอาหาร และภาวะที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อหัวใจ จึงไม่แปลกหากนอนกรนเป็นประจำ จะนำไปสู่การเกิดโรคความดันโลหิตสูงในที่สุด ซึ่งโรคนี้ถ้าไม่ทำการดูแลรักษาให้ดี จะทำให้เกิดโรคอื่น ๆ ที่ร้ายแรงตามมาอีกมากมาย
จะเห็นได้ว่าการนอนกรนในทุก ๆ คืนที่คุณเข้านอน ล้วนก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างมหาศาล ดังนั้นหากรู้ตัวว่ามีภาวะดังกล่าว ควรรีบหาทางแก้ไข หรือเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อหาต้นตอ และทำการรักษาได้อย่างตรงจุดมากที่สุดนั่นเอง