"เต้ย" นิยามสัมพันธ์ "เจโต" เป็นคู่รักเฮลตี้ เลิกมองอนาคตเน้นแฮปปี้ปัจจุบัน
ความรักครั้งนี้ถูกจับตามองอย่างมาก สำหรับนางเอกสาว เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ หลังมีข่าวลือเลิกราแฟนหนุ่ม เจโต-ปณิธิ นวสมิตวงศ์ เนื่องจากทั้งคู่ไม่ค่อยแชร์โมเมนต์หวานด้วยกันให้เห็นสักเท่าไหร่ ซึ่งเต้ยได้ออกมายืนยันผ่านสื่อยังรักกันดี ส่วนฝ่ายชายก็แอบลงรูปคู่สวีตตอกย้ำสถานะรักหวานเวอร์
เมื่อ sanook.com มีโอกาสเจอ เต้ย มาโปรโมตละคร มาตาลดา ประคู่พระเอก เจมส์ จิรายุ กำลังออกอากาศทาง ช่อง 3HD กด 33 จึงได้พูดคุยถึงเบื้องหลังความสนุกชวนน่าติดตาม ทั้งยังเปิดใจเล่ามุมมองความรักแบบใหม่ เลิกมองอนาคตล่วงหน้าไปไกล เปลี่ยนมาอยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ที่ดีที่สุด
เต้ย จรินทร์พร กับบทบาท มาตาลดา เติบโตมาในครอบครัว LGBTQ+ ?
“เรื่องนี้เต้ยรับบท มาตาลดา แปลว่า ลูกสาวอันเป็นที่รักของแม่ เติบโตมาในครอบครัวที่ไม่เป็นปกติของสังคม โตมาด้วยคุณแม่ที่เป็นคุณพ่อ คือ พี่ชาย ชายโยดม เป็น LGBTQ+ แต่เป็นพ่อจริงๆ เพราะอากงอาม่าไม่ยอมรับ เลยต้องทำให้พ่อแม่แฮปปี้แต่งงานมีลูกตามขนบธรรมเนียม
แต่สุดท้ายทนความไม่เป็นตัวเองไม่ได้จริงๆ แต่ดูแลลูกให้ดีที่สุด มาตาเติบโตมาด้วยความรักจากพ่อเกรซ และพี่ป้าน้าอา ที่เปิดผับแดรกควีน ถึงมาตาถูกเพื่อนล้อ แต่พ่อก็พาไปพบจิตแพทย์ตั้งแต่เด็กๆ ชิงให้ลูกเห็นคุณค่าของตัวเองจากข้างในจริงๆ”
ต่างจากเรื่องที่เคยเล่นมายังไง ?
“ต่างมากเลย มันมีจุดที่ไม่ยาก ด้วยความที่มาตาไม่ใช่คนเพอร์เฟคเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ได้ต้องเรียบร้อย เขาจะมีความเรื่อยเปื่อยของเขา ซึ่งอันนี้เล่นไม่ยาก แต่ด้วยความซับซ้อนตัวละครในแง่ที่เขามองโลกอย่างเข้าใจ มองคนเท่ากันหมด ทุกคนมีความน่ารัก มีความดีในแบบของตัวเองไม่ว่าจะเพศใดหรือใครก็ตาม
เวลาที่เขามองใครให้ความจริงจังกับใครเขาให้จริงๆ เป็นคนที่สว่าง ซึ่งสิ่งนี้บางทีมันยากสำหรับเต้ย เพราะชีวิตจริงบางทีเราก็เป็นคนขี้นอยด์ คิดมาก เวลาเราเจองานเจออะไรหลายๆ อย่างมามันต้องเคลียร์ตัวเองเวลามาเล่นเป็นเขา”
บทนี้ดูลิงก์กับเต้ย เพราะคนนึกถึงเต้ยจะนึกถึงพลังบวก ?
“ก็ดีใจค่ะ ถ้าได้เป็นพลังบวกให้ใคร มาตาก็เป็นไอดอลของเต้ยเลย เขารับมือกับเรื่องราวในชีวิตได้ดีมาก เวลาเจอปัญหาไม่ได้เอาอารมณ์มาครอบ แยกแยะได้ มีการจัดการ เขามีระบบสนับสนุนที่ดีมากๆ คือครอบครัว เลยมีการคุยกับพ่อตลอด”
ดึงความเป็นเต้ยมาไว้ในนางเอกคนนี้ยังไง และเอาความเป็น มาตา มาใช้กับชีวิตเต้ยยังไง ?
“เอาเขามาใช้กับชีวิตจริงยังไงก่อนดีกว่า เขาแรงบันดาลใจเต้ยหลายอย่างมาก ช่วงอายุตอนนี้ของเต้ยก็มีความกังวลเยอะ คำพูดของเขามันสอนเราและสอนคนดู เช่น พ่อเกรซสอนมาตาว่าความกลัวมันจะน่ากลัวที่สุด ตอนที่มันอยู่ในหัวของเรา แต่พอเรากล้าสู้หน้ากับมันแล้ว มันก็จะกลายเป็นเรื่องเล็กทันที ซึ่งมันใช่มาก
เราก็ได้เอาพลังความใจดีของมาตา คำสอนของพ่อเกรซ มาดูแลตัวเองเหมือนกัน ส่วนเอาตัวเองเข้าไปเป็นมาตายังไง เต้ยคิดว่า มาตา มีประสบการณ์ในชีวิตเยอะเหมือนกัน มองเห็นความเจ็บช้ำของพ่อ และพี่ป้าน้าอาที่คนไม่ยอมรับ เป็นคนที่ผ่านอะไรมาเยอะ เลยเอาความเข้าอกเข้าใจบางอย่างที่เต้ยเจอมาในชีวิตเยอะ มาใช้ได้เหมือนกัน ส่วนความดราม่าในเรื่องนี้ในพาร์ตของมาตา เป็นดราม่าแบบที่อิ่มอกอิ่มใจที่สุด เช่นการ ไปเจออาม่าอากง”
เวลาเข้ากับเดอะแก๊ง LGBTQ+ มีนอกบทกันมั้ย ?
“ใช้คำว่า โอ้โห เลยค่ะ พี่ป๋อมแป๋ม นัมเบอร์วัน ตัวมัม บทมีมาประมาณนึง เขาจะมาเหนือความคาดหมายทุกครั้ง และพี่เหมี่ยว ผู้กำกับก็ช่วยเสริม เวลามาเป็นซีนของบ้านมาตาก็บันเทิงสุดๆ ส่วนเจมส์จิทำเป็นเล่นไม่ได้ เต้ยเห็นเจมส์อยากเล่นเป็นทุกคนยกเว้นบทตัวเอง บทเขาต้องนิ่งมาก โตมาในกรอบ เล่นๆ นิดนึงไม่ได้”
ร่วมงานกับ เจมส์ จิรายุ เป็นอย่างไรบ้าง ?
“แฮปปี้มากค่ะ เต้ยเคยเล่นหนังกับเจมส์เมื่อ8ปีที่แล้วจะรู้จักและสนิทกับน้อง แต่ตอนนี้เราเริ่มสนิทกันมากขึ้นในหลายมิติ พอต้องมาเล่นละครด้วยกันมันแปลก เต้ยเลยขอผู้จัดเวิร์กช็อปกับเจมส์ เขาเก่งมากๆ แต่มันคือความสนิทมากกว่าที่คิดว่าจะขำกันมั้ย จริงๆ ความสนิทกันก็ช่วยเสริมทำให้มวลรวมของการทำงานง่ายขึ้น เจมส์น่ารักอยู่แล้ว เป็นความสว่าง มีความเป็นมาตาในตัว”
แอบลุ้นกับเรื่องนี้ไว้ขนาดไหน ?
“จริงๆ ลุ้นมาก ถ้ามีคนถามว่าคาดหวังมั้ย ก็จะตอบเลยว่าคาดหวังนะ เพราะอยากให้คนได้ดูละครเรื่องนี้จริงๆ เต้ยเห็นความตั้งใจของ พี่จ๋า-ยศสินี ผู้จัดจริงๆ มันเป็นแนวใหม่จริงๆ แต่มันมีค่ามากๆ กับการที่คนดูจะได้ฮีลใจไปด้วย ตัวละครแต่ละตัวน่าจะทัชใจใครได้บ้างในการเติบโตของแต่ละคน การมองโลก การมีความสุขง่ายๆ มันมีค่ามากเลย เต้ยขอให้รางวัลก่อนเลยได้มั้ย มันเป็นละครสร้างสรรค์สังคม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เต้ยมีความสุขที่ได้มาทำงานด้วย และรู้สึกภูมิใจที่ได้อยู่ในงานชิ้นนี้”
เป็นความตั้งใจด้วยหรือเปล่า ที่ละครเรื่องนี้ออกมาในช่วง Pride Month ?
“ต้องถามผู้จัดและช่องค่ะ แต่เต้ยก็คิดว่ามันเหมาะสมมากๆ ที่ออกมาในช่วง Pride Monthด้วย”
เคมีของเต้ยกับเจมส์ในเรื่องนี้ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร ?
“ความสัมพันธ์มันจะค่อยๆ เกิดขึ้นด้วยความที่สองคนนี้ต่างกัน แต่มีสิ่งที่เหมือนกันคือข้างในมีความใจดี เติมเต็มซึ่งกันและกัน”
วันแถลงข่าวบนเวทีพอพูดถึงเรื่องนี้เต้ยเสียงสั่น ?
“ไม่รู้เหมือนกัน แปลกมาก มันอินจริงๆ มันรู้สึกว่าชอบพลังความใจดีของมาตา ของเรื่องนี้มากเลย ชอบเรื่องนี้จริงๆ ปกติตัวนำเรื่องก็จะเป็นพระเอกนางเอกผู้หญิงผู้ชาย แต่เรื่องนี้นำเรื่องด้วย LGBTQ+ มันเป็นการนำเสนอว่าคนที่ทุกคนอาจจะเคยมองว่า แปลก ตอนนี้เต้ยรู้สึกว่าสังคมก็เปิดกว้างมากๆ ดีมากๆ ซึ่งกลายเป็นว่าทีม LGBTQ+ ของมาตา ได้ไปฮีลใจคนไปทั่ว และพร้อมที่จะให้ค่ะ”
ฉากหวานๆ กุ๊กกิ๊กให้ฟินไหม ?
“มีค่ะ ถ้าดูแรกๆ ก็จะเป็นหวานแบบแปลกๆ หวานแบบมาตาแปลกๆ ก่อนช่วงแรกค่ะ เป็นจังหวะเจอกันทำความรู้จักกัน อยู่ดีๆ ผู้หญิงคนนี้ก็ซึมเข้าไปในชีวิตของผู้ชายที่แบบปิดประตูให้กับทุกอย่างเฉยเลย
แต่ต้องเปิดให้คนนี้ มันจะเริ่มเป็นความสัมพันธ์ที่ดีไปเรื่อยๆ เต้ยคิดว่าคู่นี้ใช้คำว่าคู่ชีวิตได้ เป็นเพื่อนช่วยคิด เพื่อนคู่คิดในชีวิต เป็นคู่ชีวิตที่ดี มันจะไม่ได้แบบ โอ้โห หวือหวาเบอร์นั้น แต่มันค่อยๆ ไปแบบมีคุณค่าเป็นคู่ที่ลงตัวค่ะ”
แฟนๆ รอคอยคู่ เต้ย-เจมส์ ตั้งแต่เล่นหนังด้วยกันตอนนั้นเคมีเข้ากัน ?
“ดีใจค่ะ ดีใจที่คนเคยดูไทม์ไลน์แล้วก็ยังติดตามแล้วก็มาดูในมาตาลดา เรื่องนี้ไม่ตายแล้วค่ะ(หัวเราะ) เรื่องนั้นตาย สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดูก็ขอโทษที่สปอย แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ตายค่ะ”
นอกจากเรื่อง มาตาลดา มีผลงานอะไรให้รอติดตามชมกันต่อ ?
“ต่อจากเรื่องนี้ก็มีถ่าย มือปราบกระทะรั่ว อยู่ค่ะ ตอนนี้ก็รั่วอยู่นิดหน่อยด้วยคิว”
เป็นละครดราม่าแน่นอน ?
“ฮะ ดราม่ามากๆ ค่ะ ไม่ดราม่าเลยมี พี่เต๋อ ฉัทวิชช์ คนเนี่ยมันจะดราม่าได้ยังไงกัน รั่วทั้งคู่ มันน่าจะรั่วมาจากตัวพระเอกก่อน เขาหัวร้อน มีเรื่องอาการเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รับรองว่าถ้าดูแล้วอยากลุกออกไปกินข้าวเดี๋ยวนั้นเลย จริงๆ เรื่องมาตาลดาก็มีซีนที่ดูแล้วก็พรุ่งนี้ไปหมูกระทะอะไรอย่างเนี่ย”
เล่นกับพี่เต๋อไม่หลุดเยอะเลยเหรอ ?
“หลุดทุกซีนเลย(หัวเราะ) เขาจะมีความหน้าตายของเขา เล่นกับพี่เต๋อเต้ยไม่สามารถควบคุมคาแร็กเตอร์ตัวละครได้นานมันยาก ไม่เอาแล้วค่ะ ไม่เล่นกับพี่เต๋อแล้ว เรื่องนี้พอแล้ว(หัวเราะ)
ล้อเล่นๆ คือมันยากตรงที่ว่าเขาจะมีมุกอะไรใหม่ๆ แล้วเต้ยเกรงใจเขา เพราะเต้ยหลุดตลอดเลย เขาเลยต้องเล่นเหมือนเดิมให้เต้ยจำได้ว่าเขาจะเล่นแบบนี้ เพื่อจะไม่ขำอะ ไม่งั้นเต้ยว่ามันน่าจะสนุกกว่านี้ แต่มันไม่ไหว”
เราอยู่กับแก๊ง LGBTQ+ น่าจะมีมุกเยอะ ?
“คือถ้าเป็นฝั่ง LGBTQ+เต้ยเข้าใจมากค่ะ แต่ฝั่งพี่เต๋อเขาจะแบบบางทีมันคาดไม่ถึง มุกชายแท้ เรื่องนั้นคือชายแท้เลย ไม่เข้าใจมันจะงงไปเลยอะ”
ต้องหาวิธีไหมในการควบคุมคาแร็กเตอร์ให้อยู่ ?
“ก็พยายามอยู่ค่ะ ต้องขอโทษทีมงานไว้เลย เพราะเต้ยไม่เคยเป็นแบบนี้เลย มาเจอพี่เต๋อปุ๊บเป็นเลย เทคเยอะมากค่ะ เล่นๆ อยู่แล้วไม่ได้ๆ ขอโทษๆ”
ต้องปรึกษาแต้วเขาเคยเล่นกับเต๋อมาก่อน ?
“เออใช่ เดี๋ยวต้องไปปรึกษา แต่พี่แต้วน่าจะรับมือได้นะคะ เขาดูไม่เส้นตื้นเท่าเต้ย”
เต๋อมีชวนตี๊ยมกันก่อนเข้าฉากไหม ?
“ไม่ค่อยค่ะ มันถึงเหนือความคาดหมาย บางทีรีแอคเขา เขาจะเป็นคนตลกด้วยรีแอค มันเป็นทางเขาค่ะ ซึ่งบางทีเราเชี่ยวชาญตรงนั้นจากเขาเท่าไหร่ เหมือนมันเป็นรีแอคมาเต้ยก็หลุดเลย”
เราหลุดเยอะผู้กำกับว่าอย่างไรบ้าง ?
“ผู้กำกับก็คงชอบค่ะ บางทีเต้ยหลุดเขาก็ไม่คัทนะคะ สงสัยเขาชอบ”
คนอื่นๆ เล่นกับเต๋อเขาหลุดแบบเราไหม ?
“ไม่ค่อยค่ะ ไม่แน่ใจส่วนใหญ่เต้ยจะอยู่กับพี่เต๋อ แล้วก็มีครูหนุ่ยอีกคนนึงที่เล่นเป็นคุณย่า แต่นอกนั้นก็จะเป็นแก๊งชายแท้ เขาก็ขำๆ ของเขา”
ถ่ายทำไปได้เยอะหรือยัง ?
“ถ่ายไปได้เยอะแล้วเหมือนกันค่ะ เหลืออีกประมาณ 10 คิวนิดๆ”
ยังไม่เข้าปากเข้ามือกันอีกเหรอ ?
“มันมีช่วงจังหวะพักผ่อนบ้างนิดหน่อยค่ะ หมายถึงเรื่องคิวก็ยังเหลืออีกประมาณ 10 กว่าวันค่ะที่จะถ่าย”
ปีนี้วางแผนไว้อย่างไรบ้าง ?
“มีดูๆ บทอยู่บ้าง แต่ว่าหลังจากนี้เต้ยรู้สึกอยากเล่นอะไรที่มันท้าทายตัวเองมากขึ้นในมุมนักแสดงด้วย เพราะบางทีเราอาจจะได้บทที่มันคล้ายเดิมบ้าง อย่างมาตาลดาเต้ยก็แฮปปี้สุดๆ ไปเลยนะคะ หลังจากนี้ก็รู้สึกว่า เราอยากลองพลิกบ้าง เราอยากลองเล่นอื่นๆ ที่มันมีความท้าทายไปเรื่อยๆ และก็คิดถึงพวกหนังเหมือนกัน ไม่ได้กลับไปเล่นหนังนานแล้ว”
บทแบบไหนที่อยากเล่น ?
“บทที่มีความเข้มข้น จริงๆ คอมเมดี้ก็ท้าทายอยู่นะคะ กับพี่เต๋อเต้ยถือว่าท้าทายมาก(หัวเราะ) บู๊แอ็กชั่นไม่ได้อยากเล่นนะคะ ส่วนพีเรียดยังไม่เคยเล่นแบบเบอร์พีเรียดขนาดใส่สไบ ไม่เคย
ก็อาจจะเป็นไปในทางที่ตัวละครมันไม่ใช่ขาว ตัวละครไม่ได้ร่าเริงมากๆ อาจจะมีความเทาบ้าง มีความลึกลับซับซ้อนบ้าง จริงๆ ก็เคยเล่นแหละ แต่มันก็อาจจะบทแบบนี้ไม่ค่อยได้วนมาหาเต้ยบ่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นบทสว่างๆ มากกว่า”
มีติดต่อเข้ามาบ้างหรือยัง ?
“ก็มีค่ะ อ่านๆ อยู่ ถามว่าเล่นร้ายออกไปทางดำได้มั้ย ก็ต้องดูไปตามบทด้วย ที่มาที่ไป ถ้าดำแบบดาร์กสุดๆ ไปเลยโดยไม่มีที่มาที่ไปก็จะงงนิดนึง ต้องดูบทไปเรื่อยๆ”
เราอยากโตขึ้นในแง่ของการแสดง ?
“ก็ด้วยค่ะ อยู่วงการคนชอบคิดว่าเต้ยเด็ก ก็ดีแต่ถ้ามีบทให้โตไปตามอายุด้วยเหมือนกันก็ดีค่ะ”
เรารู้สึกอย่างไรบ้างที่คนคิดว่าเราเด็กอยู่ตลอด ?
“ก็ชิลๆ แหละ แต่เต้ยก็เชื่อว่าด้วยตัวเต้ยจริงๆ เป็นคนจริงจังเหมือนกันนะคะ คนเรามันก็มีหลายมุม แต่ก็สบายๆ ค่ะแล้วแต่คนเขารู้จักเต้ยยังไงด้วย มองเต้ยยังไง บางคนก็รู้จักจาก หนูสา บ้าง บางคนรู้จักจาก หนีตามกาลิเลโอ บางคนดูเคาท์ดาวน์ เขาก็จะเห็นเราในมุมอื่นๆ คือมันแล้วแต่ว่าคนจะรู้จักเราแบบไหน ก็แล้วแต่เลย”
ลุคความเป็นเด็กมีผลต่อการรับงานไหน ?
“มันก็มองว่ามีข้อจำจัดบ้างก็มีค่ะ แต่ว่าถ้าจะมองว่าเป็นข้อดีเต้ยก็ว่ามีมาก (หัวเราะ) ก็มีมากเหมือนกันนะการที่เราหน้าเด็ก ก็ยังรับงานได้เรื่อยๆ เลยนะคะ”
แต่รุ่นน้องนักแสดงเรียกเราว่าจารเต้ย ?
“มีแต่เจมส์นั่นแหละ ที่เรียกเต้ยจารเต้ย แต่เดี๋ยวนี้เต้ยต้องเรียกเจมส์ว่าจารเจมส์เขาเก่งขึ้นแบบมากๆ ไปเลย ตั้งแต่รู้จักกันตอนแรกที่เล่นหนังกับเจมส์ คือเหมือนเขาเพิ่งเล่น คุณชายพุฒิภัทร ช่วงนั้นเขาก็จะใหม่ๆ อยู่ แล้วพอเรา ไม่ได้เล่นด้วยกันนานแล้ว กลับมาทำงานด้วยกัน รู้สึกเซอร์ไพรส์เขามากมันเป็นความภูมิใจในตัวเขาด้วย
คือเต้ยก็รักเจมส์เหมือนเพื่อนเหมือนน้องคนหนึ่ง พอเขาเติบโตมารู้ไปหมดรู้ทุกเรื่อง (หัวเราะ) เขารู้ทุกเรื่องจริงๆ แล้วเขาใส่ใจทุกเรื่องในการทำงาน กล้องต้องเป็นยังไง ใช้เลนส์อะไร ถ่ายมุมไหน คือทั้งหมดเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น แล้วก็เรื่องของแอ็กติ้ง ทำไดนามิกอารมณ์ในตัวละครของเขา เขาทำออกมาได้ดีมากๆ
สำหรับเรื่องมาตาลดาค่ะ คิดว่ามาตาลดาเป็นละครที่เชิดชูความหล่อเจมส์ (หัวเราะ) แล้วก็ความสามารถเขา เต้ยแอบดูไปนิดนึงก็ติดตามพัฒนาการของตัวละคร เป็นหนึ่ง ว่าเขาจะหายจากความมีกรอบของเขาแล้วมีความสุขของชีวิตเขาได้ยังไง”
ดูปราบปลื้มกับเจมส์มาก ?
“ปลื้มค่ะ แต่อย่าไปบอกเขานะ(ยิ้ม) เขาไม่เหลิงหรอกค่ะ เขาจะชมตัวเองไปเรื่อยๆ ครับๆ ผมหล่อ (ยิ้ม)”
หลังจากโยงเป็นนางเอกเลิกแฟนเป็นยังไงบ้าง ?
“ยังปกติดีอยู่ค่ะ (หัวเราะ)”
หลายคนบอกว่าคู่ของเราคนละขั้วกันเลย ?
“ก็มีความคนละขั้วประมาณหนึ่งเหมือนกันค่ะ แต่ว่าเต้ยรู้สึกว่าเต้ยเอ็นจอยกับการเรียนรู้ คือการที่อยู่กับเขามันค่อนข้างจะได้เรียนรู้ตัวเองกันทั้งคู่ด้วยค่ะ เหมือนเขาได้เรียนรู้ตัวเขา เต้ยได้เรียนรู้ตัวเองด้วย แล้วเอาจริงๆ มันคือการโฟกัสไปในการเติบโตของแต่ละคนมากกว่า
เหมือนช่วงวัยด้วยที่เราไม่ใช่ช่วงเด็กๆ ที่จะมาอินกับความรักไม่สนใจอะไรมากมาย ตอนนี้มันคือเหมือนกับเป็นช่วงอายุของการดำเนินชีวิตพอดี มันเลยต่างคนต่างเรียนรู้กันแล้วไม่ได้ โอย ต้องติดกันมากอะไร แต่มันค่อนข้างดีมากๆ นะคะ (ยิ้ม)”
เป็นเพราะความรักในช่วงวัยที่เราโตกว่าเดิม ?
“ใช่ๆ ค่ะ เป็นการมองมุมความรักแบบใหม่ด้วย แล้วก็รู้สึกว่ามันมีคุณค่าของมันในการที่เราได้เรียนรู้กัน”
เรียนรู้กันและรู้จักตัวเองด้วยมันเป็นยังไงบ้างกับความสัมพันธ์นี้ ?
“หูย มันลึกนะคะ มันซับซ้อนอ่ะ (หัวเราะ) ส่วนใหญ่มันน่าจะเป็นบางอย่างเราคาดหวังในตัวเขามากไปไหม อยากให้เขาเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้แบบนั่นให้เราสิ แต่ว่าบางที นี่เราไม่ได้รักเขาในแบบที่เขาเป็นเหรอ เราถึงไปคาดหวังเขาอยากให้เป็นแบบนั้นแบบโน้น”
มีทะเลาะกับตัวเองบ้างไหม ?
“เรียกว่าเป็นการมองเห็นตัวเองว่า ทำไมเราถึงคิดแบบนี้ ทำไมเราถึงเป็นแบบนี้ แล้วมันก็ได้เห็นว่า อ๋อ มันเป็นเพราะว่าเราไปอยากให้เขาเป็นอย่างงั้นอย่างงี้หรือเปล่า มันก็จะเป็นอารมณ์ได้กลับมาเรียนรู้ในฝั่งของตัวเองมากกว่าอะไรแบบนี้ เรียนรู้เพื่อที่จะได้ให้กัน คือมันเป็นอารมณ์ว่าสิ่งที่เขาให้เต้ยมา เป็นสิ่งที่เขาอยากได้ แล้วสิ่งที่เต้ยให้เขาก็เป็นสิ่งที่เต้ยก็อยากได้จากเขา แต่มันไม่แมทช์กันก็เลยเอาใหม่สิ เอาใหม่ๆ
สรุปเธออยากได้อะไรนะ หรือว่าเต้ยอยากได้อะไร ก็คือคุยกันจริงๆ เป็นการปรับจูนค่ะ แล้วตัวเราก็จะให้เขาเหมือนเดิมนี่แหละ แต่เพิ่มในสิ่งที่ อ๋อ สิ่งที่ถ้าเราให้เขามันจะเติมเต็มเขามากๆ เลยถ้าเขาให้เรามันจะเติมเต็มเรามากๆ เพราะก่อนหน้านี้มันอาจจะเป็น ก็ฉันให้ของฉันไปแล้ว ทำไมเธอไม่ดีใจ มันเป็นอารมณ์แบบนี้มันเลยเหมือนจูนใหม่ให้เข้ากันมากขึ้น”
เลยไม่ค่อยได้เห็นความหวือหวาของคู่เรา ?
“ก็ไม่ได้เปิดนะคะ เต้ยก็ถ่ายลงยูทูบอยู่นะคะ (ยิ้ม)”
เพราะเราเชื่อหมอดูหรือเปล่า ?
“อ๋อ ช่วงแรกๆ ผ่านช่วงนั้นไปแล้วแหละ จะเปิดก็เปิดได้แต่จะมีบางจุดที่ เฮ้ย เราอยากจะลงรูปแล้วนะ อ้าวตีกัน (หัวเราะ) งั้นเดี๋ยวก่อนรอให้มันเลิกตีก่อนเดี๋ยวลง หาจังหวะอยู่”
พอเลิกตีกันก็ไม่ได้ลงแล้ว ?
“พอเลิกตีกันก็เลยไปแล้ว เดี๋ยวรอให้มีช่วงจังหวะอะไรที่เรารู้สึกว่าโอเคเดี๋ยวก็ลงแหละ มันไม่ได้ มันเหมือนเป็นสมัยที่เราจะทำอะไรก็ได้เราเป็นตัวของตัวเอง”
แสดงว่าที่เงียบๆ ไปคือตีกัน ?
“(ยิ้ม) ใช่ค่ะ (หัวเราะ) มันก็ต้องมีตีกันบ้างเป็นธรรมดา”
คือเราคุยกันเยอะขึ้น ?
“ก่อนหน้านี้คุยกันเยอะมากอยู่แล้วค่ะ (หัวเราะ) แล้วพอเหมือนกับว่าเจอจังหวะที่มันคุยให้เข้าใจกันมากกว่าอะไรแบบนี้”
ช่วงที่ตีกันอาจจะเป็นสาเหตุทำให้ข่าวหลุดออกมาว่าคู่เราเลิกกัน ?
“(หัวเราะ) ไม่รู้ ไม่ใช่เราหรอก (หัวเราะ) ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ แต่มันก็คงมีบ้างแหละที่คุยกันไม่ซิ้งค์กันบ้างอะไรแบบนี้ แต่ตอนนี้โอเคมากแล้วค่ะ”
ตอนนี้เจอจุดซิ้งค์กันหรือยัง ?
“เรียกว่าค่อยๆ ปรับแล้วก็เข้าใจกันมากขึ้น เราไม่ได้ต้องการอะไรน่าจะลงตัวกันมากขึ้น”
ในวัยนี้เรามองความรักครั้งนี้เป็นในแนวทางไหน ยังเป็นรักที่กุ๊กกิ๊กๆ หรือมองเห็นในอนาคต ?
“จริงๆ เต้ยคบใครเต้ยมองอนาคตตลอดค่ะ เต้ยชอบข้ามสะพานไปก่อน เป็นคนมองไกล คือถ้าถามว่าตอนนี้เป็นยังไงเมื่อก่อนเป็นคนมองไกลมาก คิดไปไกลมาก ถ้าเธอทำแบบนี้จะอยู่ด้วยกันได้ไหมอย่างโน่นอย่างนี้ แต่ว่า ณ วันนี้กลายเป็นว่าไม่ต้องมองไปตรงนั้นแล้ว เอาตรงนี้ให้ดีก่อน เอาทุกวันนี้ให้แฮปปี้ก่อน ก็อยู่กับปัจจุบันเยอะขึ้นแล้วก็น่าจะเพราะโตขึ้นด้วยในเรื่องในชีวิต”
เจโตมองแบบเดียวกับเราไหม ?
“ก็มองแบบเดียวกันนะคะ เขาเป็นคนบอกเรา (หัวเราะ) บอกไม่ต้องคิดไปไกลเอาวันนี้ก่อน (หัวเราะ) เออ ก็จริง”
แล้วมันดีขึ้นไหมการหยุดมองไกลข้ามสะพานไปแล้วกลับมาที่เดิม ?
“คือด้วยความเต้ยโตมาด้วยการที่ดูแลคนในบ้าน มันเลยเป็นเหมือนคนที่ เฮ้ย จะโอเคไหม อันโน่นต้องมีการวางแผนแล้วก็พอเขาพูดกับมาว่า เออ บางทีอยู่ตรงนี้ก่อนเอาตรงนี้ก่อนก็ดี”
พอเปลี่ยนความคิดกลับมามองปัจจุบันมากขึ้นเป็นอย่างไร ?
“มันเบาขึ้นและมันก็ชิลขึ้นเลยในทันตา แต่มันก็ไม่ง่ายมากนะคะ มันก็ต้องอาศัยจังหวะ และอีกคนนึงด้วยว่าเราคุยกันเข้าใจยังไงบ้าง ทุกวันนี้ก็ค่อนข้างที่จะชิลๆ ก็อยู่กับวันนี้ไป”
เป็นเพราะเราลดความคาดหวังลงหรือเปล่า ?
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นค่ะ เหมือนเรามองเขาในแบบที่เขาเป็นมากขึ้น และเขาก็ไม่พยายามที่จะเยอะเกินไป พอดีๆ ไม่ต้องใกล้กันมากเกินไป มีพื้นที่ในการดูแลตัวเอง ทำเรื่องของตัวเองไปด้วย เรียกว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่เฮลตี้”
สมัยเด็กจะอินเลิฟติดแฟนมากกว่านี้ไหม ?
“เป็นมนุษย์ทุ่มเทค่ะ เป็นคนคลั่งรัก (หัวเราะ)”
แล้วตอนนี้พอโตขึ้นเป็นยังไง ?
“เราก็จริงใจเหมือนเดิมค่ะ มอบความรักและความจริงใจให้เขาเหมือนเดิม เต้ยว่าเหมือนกับเราจัดสรรความเฮลตี้ให้กับตัวเองด้วย มีพื้นที่ให้กับตัวเองด้วย เขาเองก็มีพื้นที่ให้กับเขาด้วย เราก็เป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนช่วยคิดกันไป ก็คิดว่าเป็นความสัมพันธ์ที่โตไปอีกสเต็ปหนึ่งมากกว่า”
ก่อนหน้านี้จัดทริปไปเที่ยวคนเดียว ?
“อันนี้เป็นครั้งแรกเลยค่ะ มันเลยทำให้รู้ว่า คนเราชอบไม่เหมือนกัน การที่ไม่ได้ชอบเที่ยวคนเดียว ไม่ได้ชอบมีพื้นที่ของตัวเองมากๆ ก็ไม่ต้องไปเที่ยวคนเดียว มันน่าจะทรมาน แต่สำหรับเต้ย มันทำให้เราได้เติมเต็มตัวเองมากๆ และได้ชาร์จแบตมากๆ เหมือนเราต้องดูแลคนอื่นมามากๆ หรือเราคิดโน่นคิดนี่ แต่พอได้ไปเที่ยวคนเดียว มันเหมือนเราได้เลือกทุกอย่างให้ตัวเองจริงๆ เราได้ดูแลตัวเอง ไม่ต้องรอใคร อยากทำอะไรก็ทำ”
แต่พอไปคนเดียวทุกคนก็จะเป็นห่วง ?
“ใช่ๆ ค่ะ ทุกคนเป็นห่วง แต่สุดท้ายเขาก็รู้อยู่แล้วว่าเต้ยเอาตัวรอดได้ ดูแลตัวเองได้ถึงแม้จะตัวเล็กโกะๆ กังๆ บ้างบางที”
แต่เราเลือกไปในที่ๆ เราคุ้นชินใช่ไหม ?
“ไม่คุ้นชินค่ะ ไม่เคยไป (หัวเราะ) ไปเกาะยาวน้อยค่ะ ขึ้นเรือไป แต่เต้ยเคยขึ้นเรือออกทะเลอยู่แล้ว แต่อันนี้มันแค่ไปอยู่คนเดียว แต่ไม่ได้หมายความว่าต่อไปจะไม่ไปกับเพื่อนนะคะ ยังไปกับเพื่อนอยู่ค่ะ แต่อันนี้มันเหมือนเป็นช่วงมากกว่าที่เราอยากไปเติมให้ตัวเองก็ค่อยไปซื้อ”
ไม่ชวนเจโตไปด้วยกันเหรอ ?
“พี่เขารู้ค่ะ พี่เขาดีใจที่เราไปคนเดียว (หัวเราะ) ด้วยตอนนั้นเขาก็ไปถ่ายงานอยู่ที่อินเดีย มีงานกำกับของเขา เขาก็ไปทำงาน เราก็ไปคนเดียว ซึ่งเขาก็ดีใจที่เราได้ออกจากคอมฟอร์ทโซนเพื่อตัวเองจริงๆ เราจะได้ไม่อยู่ด้วยกันด้วยความหวง ไม่มีเลยค่ะ พวกเราชิลๆ กันมาก”
แล้วมุมความหวานเป็นยังไง ?
“ก็มีนะคะ เป็นเหมือนเพื่อนๆ กันมากกว่า มีเรื่องอะไรก็เล่าให้กันฟัง แชร์ให้กันฟัง แต่จำไม่ได้หวานมาก แต่เขาก็มีดอกไม้มาแสดงความดีใจมาตาลดา แต่เขาไม่ได้มาเอง แอบส่งมาให้”
เขาจะมีความหวานในโอกาสพิเศษในมุมของเขาใช่ไหม ?
“เอาจริงๆ หนูลุ้นทุกครั้งเลยว่าจะมีมั้ยนะ วาเลนไทน์ตอนนั้นลุ้นมาก เขาก็เอามาให้ (ยิ้ม)”
แล้วถ้าสมมติไม่ได้ล่ะ ?
“ก็ปิ้วเหมือนกันค่ะ ก็คงบอกว่าไม่เป็นไร แต่จริงๆ แล้วเป็น (หัวเราะ) ไม่หรอก คือเต้ยจะเป็นคนพูดตรงๆ ถ้าไม่โอเคก็จะบอกไม่โอเค แต่กลายเป็นว่าเวลาที่เขาเซอร์ไพรส์เขาคิดแล้วจริงๆ ดอกไม้เขาก็จะดีไซน์มาเอง ว่าดอกไม้นี้เป็นอันนี้ๆ นะ มีความหมาย เขาก็มีความน่ารัก (ยิ้ม)”
เรายังคลั่งรักเหมือนเดิมไหม ?
“คลั่งรักตัวเองด้วย รักเขาด้วย มันจะได้เป็นความสัมพันธ์ที่กำลังดีเฮลตี้ อยากให้เป็นแบบนี้”
แล้ววันพิเศษเรามีอะไรให้เขาบ้างไหม ?
“หนูห่วยมากๆ เลยค่ะ น่าจะห่วยกว่าเขาไปอีก เดี๋ยวเต้ยจะไปปรับปรุงตัวเองค่ะ (หัวเราะ) แต่ก็มีให้ค่ะ ส่วนใหญ่จะไปซื้อของที่คิดว่าเขาจะชอบ แต่มันยากตรงที่เขาแฟชั่นจัดกว่าเต้ยไปอีก เขาจะเป็นแนวล้ำๆ เลย บางที่หนูก็คิดว่าซื้อไปแล้วมันจะไม่ล้ำหรือเปล่านะ (หัวเราะ) เขาจะชอบมั้ยนะ ถามไปเลยแล้วกัน นอกนั้นก็จะเขียนการ์ดให้ปกติค่ะ”
อะไรที่ทำให้อยากศึกษากับคนนี้ ?
“เต้ยชอบคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเขา จริงๆ เคยเห็นเขามาตั้งแต่ม.ต้นในเว็บบอร์ดอะไรพวกนั้น เว็บบอร์ดสยามสแควร์ ก็คือรู้อยู่แล้วว่าคนนี้ชื่อนี้ แล้วก็เห็นเขาเติบโตมาเรื่อยๆ ตั้งแต่เขาได้ทำโฆษณาเรื่องแรกที่ฉายทางทีวี เขาก็กำกับเต้ย ลืมไปแล้วด้วยมันนานมากแล้ว
และรู้สึกประทับใจตัวเขาที่เขาสร้างตัวเองขึ้นมา ณ วันนี้เหมือนกัน ก็เลยชอบ แล้วพอคุยไปเรื่อยๆ เราก็ไม่ได้อยากไปรู้จักคนอื่นมากไปกว่านี้ เราอยากรู้จักคนนี้ว่าเขาเป็นคนยังไงนะ มีไลฟ์สไตล์ยังไง เห็นเขาเดินป่าแล้วก็สนใจ ชอบ อยากรู้ (ยิ้ม) เหมือนเป็นจังหวะเปิดประตูและลองคุยกับเขา”
จุดเริ่มต้นมาจากไหน ?
“น่าจะมาจากช่วงๆ นั้นแหละ แต่ไม่เกี่ยวกับกองละครเลยค่ะ น่าจะเป็นจังหวะที่เหมือนได้กลับมาเจอเขา ได้คุยกันใน DM นิดๆ หน่อยๆ ตอนแรกก็คุยกันเรื่องบ้าน เพราะเขาก็ชอบพวกการสร้างบ้าน ชอบเฟอร์นิเจอร์ ก็เลยรู้สึกว่าดี มีเพื่อนผู้ชายเพิ่มอีกคนนึงแล้วที่คุยเรื่องเดียวกันได้ แต่พอไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ก็เลยคุยกันมาเรื่อยๆ (ยิ้ม)”
ได้กลับไปถามหมอดูไหมว่าต่อไปจะยังไงต่อ ?
“ช่วงนี้เพลาๆ การถามหมอดูค่ะ (ยิ้ม) ต้องคุยกับตัวเองก่อน ไม่ใช่ไปถามหมอดูอย่างเดียว”
ก่อนหน้านี้เราถามหมอดูหนักเหมือนกันใช่มั้ย ?
“ก็ไม่ได้หนัก ค่ะ แค่ถามเฉยๆ ว่าคนนี้โอเคมั้ยคะพี่ (ยิ้ม) หมอดูก็บอกว่าจริงๆ ก็มีคำตอบอยู่แล้ว ไม่ต้องไปถามหลายคนหรอก ทุกอย่างในชีวิตเราก็ไม่ได้ไปพึ่งแต่กับหมอดูเท่านั้น ก็ต้องค่อยๆ ดูไปด้วยตัวเองด้วย”