เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

รีวิว The Lion King ข้อจำกัดของ “ความสมจริง”

รีวิว The Lion King ข้อจำกัดของ “ความสมจริง”

 

 

แอนิเมชั่น The Lion King ในปี 1994 ถือเป็นผลงานอีกเรื่องของค่ายดิสนีย์ที่จัดได้ว่าประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำวิจารณ์ อีกทั้งหนังยังคว้าสองรางวัลออสการ์ในสาขาดนตรีประกอบยอดเยี่ยม (ฮานส์ ซิมเมอร์) และเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ("Can You Feel the Love Tonight" ดนตรีโดยเอลตัน จอห์น และเนื้อเพลงโดยทิม ไรซ์) กว่ายี่สิบปี The Lion King ถือเป็นผลงานคลาสสิคที่ได้รับการดัดแปลงไปเป็นละครเวที การ์ตูนภาคต่อทางโทรทัศน์ เพลงในหนังที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของผู้ชม

 

จนกระทั่งดิสนีย์ตัดสินใจที่จะคืนชีพให้ The Lion King จากเวอร์ชั่นตัวการ์ตูนน่ารักน่าเอ็นดู กลายเป็นเหล่าสัตว์ที่มีความเสมือนจริงราวกับหลุดมาจากป่าในทวีปแอฟริกาด้วยเทคนิควิธีการสร้างทางซีจีไอที่เรียกว่า Photorealistic Animation หรือการทำแอนิเมชั่นออกมาให้มีความสมจริง ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

 

 

ทว่าความสมจริงที่มากเกินไป ทำให้เกิดความขัดแย้งในเชิงความรู้สึกของผู้ชม ที่อาจจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจไม่น้อยเมื่อ เหล่าสัตว์ในเรื่องสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สามารถร้องรำทำเพลงได้ แต่ไม่อาจจะแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านสีหน้าแววตา (Facial expression) ได้มากเท่ามนุษย์จริงๆ จนทำให้ในหลายฉากของหนังมีความแห้งแล้ง เฉยชา เมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นแอนิเมชั่นที่สามารถแสดงอารมณ์ได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะสุข เศร้า โกรธ นิ่งเงียบ ซึ่งประเด็นที่กล่าวมาทำให้เรารู้สึกเสียดายตรงความครึ่งๆกลางๆของปัจจัยเหล่านี้

 

 

เสียงพากย์ของตัวละครในเรื่อง เป็นอีกหนึ่งทั้งสิ่งเกื้อกูลหนังและเป็นทั้งจุดด้อยของเรื่อง อย่างแรกการที่หนังเลือก บิลลี ไอช์เนอร์ มาพากย์เป็นทีโมน และเซธ โรแกนมาพากย์เป็นพูมบ้า คือตัวเลือกที่เหมาะสมและเพิ่มอรรถรส ชีวิตชีวาให้กับหนังเป็นอย่างมาก ส่วนตัวละครอย่างนาล่า ซึ่งพากย์โดยดีว่าอย่าง “บียอนเซ่” นั้น เรากลับรู้สึกว่าความเป็นตัวตนของเธอปกคลุมตัวละครนี้เสียจนเราไม่รู้สึกว่านาล่าเป็นสิงโต แต่เป็นบียอนเซ่จำแลงร่างมา (พูดง่ายๆว่าความมีเอกลักษณ์ของบียอนเซ่มันยิ่งใหญ่เสียเกินตัวละครไปแล้ว)

 

 

ยังไม่รวมเพลงที่ถูกแต่งขึ้นใหม่อย่าง Spirit ที่ขับร้องโดยบียอนเซ่อีกเช่นกัน เมื่อมันถูกใส่เข้ามาในช่วงก่อนไคลแมกซ์ของหนัง ได้กลายเป็นบทเพลงที่ดูอยู่ผิดที่ผิดทาง และไม่เข้ากับเพลงอื่นๆในหนังเรื่องนี้ สิ่งเดียวที่เราพอจะมองเห็นถึงจุดประสงค์ของการมีอยู่ของเพลงดังกล่าว เพียงเพราะว่าดิสนีย์อาจจะคาดหวังว่าอย่างน้อยเพลงนี้ก็น่าจะมีโอกาสได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขาเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในช่วงต้นปี 2020 (แบบเดียวกับที่ Beauty and the Beast ในปี 2017 ส่งเพลงแต่งขึ้นใหม่อย่าง Evermore ชิงชัย แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันกระทั่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล)

 

อย่างไรก็ตาม The Lion King ในเวอร์ชั่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการยกระดับงานเทคนิคพิเศษในการสร้างภาพให้ออกมาเสมือนจริงและน่าตื่นตาตื่นใจ แต่สิ่งที่อาจจะพร่องไปก็คือจิตวิญญาณและความมีชีวิตชีวาแบบในเวอร์ชั่นต้นฉบับไปอย่างน่าเสียดาย

 

 

\

"ณเดชน์-ต้าห์อู๋-แก้ม" เปิดตำนานเจ้าป่า Mufasa: The Lion King ร่วมทีมพากย์ไทย

เปิดตัวทีมพากย์เสียงภาษาไทย "ณเดชน์-ต้าห์อู๋-แก้ม" ร่วมเล่าตำนานของเจ้าป่า ในภาคต่อภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์แห่งปี “Disney’s Mufasa: The Lion King มูฟาซา: เดอะ ไลอ้อน คิง” พร้อมเปิดการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี 19 ธันวาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์

ภาคต้นรุ่นพ่อ Mufasa : The Lion King ได้ผู้กำกับ Oscars จาก Moonlight

ภาคต้นรุ่นพ่อ Mufasa : The Lion King ได้ผู้กำกับ Oscars จาก Moonlight

Walt Disney Studios ประกาศสร้างภาคต้นของ The Lion King ที่จะเน้นไปที่ตัวละคร Mufasa หรือพ่อของ Simba ซึ่งหนังจะถูกทำในรูปแบบ Live action ได้ผู้กำกับ Oscars จาก Moonlight มากำกับเรื่องนี้

The Disney Family Singalong รวมนักร้องเบอร์ใหญ่ และนักแสดงคนดัง มาส่งความสุขจากเพลงดังในค่ายดิสนีย์

The Disney Family Singalong รวมนักร้องเบอร์ใหญ่ และนักแสดงคนดัง มาส่งความสุขจากเพลงดังในค่ายดิสนีย์

เมื่อวันที่ 16 เมษายนที่ผ่านมา ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ABC ได้ออกอากาศรายการพิเศษอย่าง The Disney Family Singalong ซึ่งได้บรรดานักร้องดังจากอเมริกามากมายมาร่วมขับร้องบทเพลงดังจาก หลากหลายแอนิเมชั่นของค่ายดิสนีย์ พร้อมกับขึ้นคำบรรยายเป็นคาราโอเกะให้ด้วย แต่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดน่าจะหนีไม่พ้นบรรดานักแสดงดั้งเดิมของหนังเพลงเรื่องดัง High School Musical ที่กลับมารวมตัวเพื่อร่วมโปรเจ็คพิเศษครั้งนี้

ถ้าทำได้ให้แสนเหรียญ! ห้ามจูบ ห้ามนัว ห้ามมีเซ็กซ์ กับ Too Hot To Handle

ถ้าทำได้ให้แสนเหรียญ! ห้ามจูบ ห้ามนัว ห้ามมีเซ็กซ์ กับ Too Hot To Handle

จะมีอะไรเร่าร้อนไปกว่า หนุ่มสาวหน้าตาดี ที่มาพร้อมกับหุ่นและมัดกล้าม ชายหาดทรายและเกลียวคลื่น บิกินี่และกางเกงว่ายน้ำ ทั้งหมดนี้คือรูปแบบรายการของ Too Hot To Handle เรียลลิตี้ความยาว 8 ตอนที่สามารถดูได้รวดเดียวจบทางสตรีมมิ่ง Netflix