"เป้ย ปานวาด" บทแม่ในชีวิตจริง ลูกคือลมหายใจคือพลังงานของชีวิต
เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ประจำปี 2566 ทีมข่าวบันเทิง Sanook.com ได้มีโอกาสนั่งพูดคุยกับหนึ่งใน #ซูเปอร์มัม คนเก่งของวงการ เป้ย-ปานวาด บุญยรัตกลิน ที่ปัจจุบันครองสถานะเป็น คุณแม่สุดที่รักของ น้องโปรด และ น้องปาลิน สองพี่น้องนิสัยต่างขั้ว แต่พกพาความน่ารักมาแบบเต็มพิกัด
โดยนอกจากเราจะได้ล้วงลึกถึงชีวิตการเป็นคุณแม่ที่ทุ่มเททั้งความรัก ความเอาใจใส่ รวมถึงทุกๆ ช่วงเวลาให้กับลูกแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ของ เป้ย ปานวาด แล้ว เราก็ยังได้ชวนเจ้าตัวเล่าย้อนถึงชีวิตวัยเด็กกับวีรกรรมสุดแสบ และความผูกพันกับ คุณแม่สุวรรณา ที่เจ้าตัวออกปากเองเลยว่า สนิทสนมเหมือนเป็นเพื่อนซี้เลยทีเดียว
ความผูกพันของ เป้ย ปานวาด กับคุณแม่ ?
“ถ้าจะให้พูดถึงคุณแม่ เป้ยกับแม่เราสองคนเหมือนจะเป็นเพื่อนกันมากๆ เลยค่ะ เพราะคุณแม่เป้ยท่านเป็นคนลุยๆ มีความเป็นวัยรุ่น และก็ไม่วางตัวเป็นผู้ใหญ่อะไรมากมาย ดังนั้นเวลาเราสองคนคุยกัน มันเลยเหมือนการคุยกันแบบเพื่อน กอดคอกัน และอีกอย่างคือเราเป็นแม่ลูกที่ไม่มีอะไรปิดบังกันเลย เราคุยกันได้ทุกเรื่องเลยค่ะ”
ชีวิตวัยเด็กของ เป้ย ปานวาด ?
“ตอนเด็กๆ เป้ยจะอยู่ทั้งกับคุณยาย(อาม่า)และก็คุณแม่ค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะโตมากับคุณยายมากกว่า ซึ่งสำหรับพาร์ทที่อยู่กับคุณแม่ เอ่อ…จริงๆ มันก็จะมีความคัดแย้งกันอยู่บ้างเหมือนกันนะคะ เนื่องจากคุณแม่ท่านจะมีความตรงแบบสุดโต่งในบางเรื่อง แต่ท่านไม่ได้เป็นคนดุนะคะ แค่อารมณ์แบบ ถูกต้องแบบนี้ ผิดต้องแบบนี้ อะไรประมาณนั้น ซึ่งตัวเป้ยเองก็จะมีความงอแงในตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับกลัวท่าน เพราะอย่างที่บอกท่านค่อนข้างมีความเป็นวัยรุ่นแบบสุดๆ ฉะนั้นความกลัวของเป้ยสำหรับท่านมันเลยไม่มี และอีกอย่างคือท่านเองก็ไม่เคยทำโทษเป้ยด้วยวิธีการตีด้วย”
ไม่ได้เติบโตแบบสุขสบาย เพราะต้องช่วยครอบครัวทำงานหาเงิน ?
“ใช่ค่ะ คือการที่เป้ยมาอยู่กับคุณแม่ เป้ยเองก็ต้องช่วยท่านทำขนมวุ้นมะพร้าวขายด้วยเหมือนกัน เป็นการทำส่งขายตามห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในจังหวัดหาดใหญ่ ซึ่งเป้ยต้องทำทุกอย่างเลยนะ ตั้งแต่ขั้นตอนการสับมะพร้าว ถึงขนาดที่ว่าเคยสับโดนนิ้วตัวเองจนเกือบขาดมาแล้ว (หัวเราะ) วันนั้นจำได้เลยว่าแบบ ตัวเองโยนพร้าทิ้ง แล้วก็คิดในใจ ทำไมชีวิตฉันต้องมาทำอะไรแบบนี้ ทำไมฉันไม่ได้ไปเที่ยว แต่ถึงบ่นก็ทำนะคะ เพราะถ้าเป้ยไม่ทำ คนที่ทำก็ต้องเป็นคุณแม่ ซึ่งเป้ยไม่อยากให้ท่านเหนื่อย อีกอย่างเวลาที่ได้ทำ เป้ยก็จะได้แอบกินมะพร้าวไปด้วย (หัวเราะ) ทำไป กินไป ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งค่ะ คือคุณแม่ก็จะเลี้ยงเป้ยมาแบบนี้แหละค่ะ ค่อนข้างลุย ขี้เกียจไม่ได้ แต่ถามว่าลำบากไหม เอ่อ… คนอื่นลำบากกว่าเป้ยเยอะเลยค่ะ เพราะเป้ยเองก็ยังมีกินมีใช้ ยังมีบ้านอยู่ ยังสามารถร้องเพลง หรือดูโทรทัศน์ได้ตลอดเวลา เป้ยโอเคกับชีวิตวัยเด็กของตัวเองมาก”
แม่ไม่ได้สอนด้วยคำพูด แต่สอนด้วยการให้เราได้ลงมือทำ ?
“น่าจะใช่แบบนั้นค่ะ เพราะตอนเด็กๆ เป้ยเองก็เคยมีเหมือนกัน มีโมเมนต์ที่เรากรี๊ดงอแงเพราะอยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้ เป้ยถึงกับลงไปดิ้นกลางห้างเลยนะคะ แต่สุดท้ายคุณแม่ก็ใจแข็งไม่ยอมซื้อให้ (ยิ้ม) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่มีอะไรฝังใจเป้ยเท่ากับการที่เป้ยไม่ได้ชุดขายขนมที่ทำมาจากดินเผา เพราะมันเป็นเรื่องที่เป้ยจำได้แม่นยำมาจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นเวลาที่สามีเป้ยเขาบอกว่า เป้ยซื้อของเล่นให้ลูกเยอะเกินไปแล้ว เป้ยก็จะบอกกับเขาว่า เมื่อก่อนเป้ยไม่ได้ และเป้ยก็ยังจำความรู้สึกนั้นได้อยู่ เป้ยเลยไม่อยากให้ลูกรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันกับเป้ย แต่ในการซื้อของเล่นแต่ละครั้งสำหรับเป้ยก็ต้องมีข้อแม้นะคะ อย่างเช่นลูกๆ ต้องทำความดี หรือต้องได้รางวัลอะไรต่างๆ ก็ไม่เคยขัดเขาค่ะ”
โดยปกติแล้วสองคนแม่ลูกบอกรักกันบ่อยหรือเปล่า ?
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่เลยค่ะ ไม่กล้าเลย เพราะเป้ยมีความรู้สึกว่ารักคุณยายมากกว่า เนื่องจากคุณยายตามใจเป้ย (หัวเราะ) แต่พอเป้ยเริ่มโตขึ้น เริ่มทำงานหาเงินเองได้ เป้ยก็รู้สึกว่าไม่อยากจะให้คุณแม่ต้องเหนื่อยอีกแล้ว อยากให้ท่านได้ไปเที่ยว ได้ออกไปพักผ่อน เพราะท่านเป็นสายลุย ดังนั้นทุกวันนี้ถ้าแม่อยากไปไหน แม่ไปได้เลย เป้ยพร้อมซัพพอร์ตทุกอย่าง ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เป้ยอยากให้แม่ได้เที่ยวเต็มที่”
โมเมนต์ความทรงจำของ เป้ย ปานวาด กับคุณแม่ ?
“มีเยอะเลยนะคะ เพราะเป้ยกับคุณแม่ เรามีอยู่กันแค่สองคนแม่ลูก ดังนั้นมันจึงมีทั้งความพร้อมและความไม่พร้อม มีทั้งปัญหาต่างๆ นานาที่เข้ามา มีทั้งเรื่องของความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่ทว่าในทุกๆ ครั้งเราสองก็ฟันฝ่าร่วมกันมาจนได้ อย่างเช่นเหตุการณ์หนึ่งที่เป้ยรู้สึกว่ามันเป็นที่สุดมากๆ สำหรับเป้ย ก็คือในตอนที่เป้ยเพิ่งเริ่มเข้าวงการ เป้ยต้องเจอกับข่าวที่มันค่อนข้างรุนแรง ทั้งๆ ที่เป้ยเองก็ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น และก็ไม่ได้ทำแบบนั้นเหมือนกับที่เขาเขียนในข่าว แต่เป้ยไม่สามารถบอกหรืออธิบายกับใครได้ เป้ยทำได้แค่เก็บมันเอาไว้กับตัวเองอย่างเดียว จนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่ท่านโทรศัพท์มาหาเป้ย คือโทรมาแล้วต่างฝ่ายต่างก็เงียบไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเป้ยก็ร้องไห้ ร้องไห้หนักมาก และเมื่อถึงจุดหนึ่งคุณแม่ก็พูดขึ้นมาว่า กลับบ้านเถอะลูก อย่าอยู่ให้ใครรังแก กลับบ้านเรา ไม่ต้องมีงานมีเงินเยอะก็ได้ กลับมาหาแม่ นั่นแหละค่ะสำหรับเป้ยที่รู้สึกว่ามันคือที่สุดแล้ว คุณแม่คือเซฟโซนจริงๆ”
เรื่องที่ เป้ย ปานวาด เป็นห่วงคุณแม่มากที่สุด ?
“คุณแม่เป็นคนที่เวลาท่านเจ็บ ป่วย หรือไม่สบาย ท่านจะไม่บอกเป้ยค่ะ ท่านจะปิดเงียบทุกอย่างเพราะไม่อยากให้เป้ยต้องเป็นกังวล และเป้ยจะมารู้เรื่องอีกทีก็คือตอนที่มีคนใกล้ตัวท่านโทรมาบอก มันเลยกลายเป็นว่าตอนนี้เป้ยดุคุณแม่ มากกว่าคุณแม่ดุเป้ยไปแล้ว (หัวเราะ) ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกิจกรรมที่คุณแม่ชอบ ปีนเขา เข้าป่า ปั่นจักรยาน ซึ่งเป้ยก็จะต้องคอยเตือนท่านตลอดเวลาว่าอายุเยอะแล้วนะนู่นนั่นนี่ แต่คือท่านก็จะไม่ฟัง ดังนั้นพอท่านไม่ฟัง เป้ยก็เลยต้องซัพพอร์ตด้วยการซื้อของดีๆ ให้ท่านใช้ พวกรองเท้าเดินป่าดีๆ รองเท้าที่มันกันลื่น รวมถึงอุปกรณ์ต่างๆ นานา ที่มันจะช่วยป้องกันอันตรายและการบาดเจ็บได้”
เคยมีครั้งไหนไหมที่คุณแม่ท่านห่วงเรามากๆ หรือต้องปวดหัวเพราะวีรกรรมของเรา ?
“มีค่ะ จำได้แม่นเลย และเป้ยก็โดนตีครั้งนั้นแหละ (หัวเราะ) ก็คือในตอนนั้นมันมีสถานการณ์น้ำท่วมเกิดขึ้น และทางโรงเรียนเขาก็แจ้งว่าให้ผู้ปกครองเดินทางมารับลูกกลับบ้าน แต่ในเคสของเป้ยคือ คุณแม่มารับแล้วแต่หาเป้ยไม่เจอ เพราะว่าเป้ยเดินกลับไปแล้ว แถมยังชวนเพื่อนที่อยู่ตรงข้ามบ้านเดินกลับไปพร้อมกันด้วย คือคิดว่าตัวเองเก่ง ทั้งๆ ที่น้ำท่วมสูงมาก ซึ่งตอนแรกที่เดินก็คิดว่ามันใกล้ๆ ไม่อะไรมากหรอก แต่พอเอาเข้าจริงมันโครตไกล ก็นั่นแหละค่ะพอถึงบ้านเป้ยก็โดนคุณแม่ตี ส่วนเพื่อนที่มาด้วยกันไม่มีใครโดนเลย เพราะทั้งหมดทั้งมวลเป้ยเป็นผู้นำ เป็นคนชวนเขามา (หัวเราะ)”
สำหรับ เป้ย ปานวาด ความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่คืออะไร ?
“คุณแม่เป็นผู้หญิงที่อดทนและเก่งมาก คุณแม่ทำงานทุกอย่าง เป็นผู้หญิงที่ลุย เป็นผู้หญิงในแบบที่เป้ยชอบ และเป้ยก็คิดว่าตัวเป้ยเองก็ได้รับความอดทนจากท่านมาเหมือนกัน (ยิ้ม)”
จากลูกสาวจอมแก่นในวันนั้น ตอนนี้ เป้ย ปานวาด กลายเป็นคุณแม่ลูกสอง ?
“จริงๆ ทั้งหมดก็ต้องยกเครดิตให้คุณแม่ค่ะ เพราะเป้ยมีคุณแม่เป็นไอดอล ซึ่งเป้ยคิดมาเสมอว่าการที่เป้ยมีใครสักคนเป็นเซฟโซนให้กับเป้ย เป็นคนที่เป้ยสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง เป้ยก็อยากให้ลูกคิดกับเป้ยแบบนี้ด้วยเหมือนกัน ดังนั้นทุกวันนี้เป้ยจึงพยายามที่จะทำตัวเป็นเพื่อนกับลูก คุยทุกอย่างกับลูก ก่อนเข้านอนเราจะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันตลอด ส่วนเรื่องไหนที่เขาไม่อยากตอบเป้ยก็จะไม่เซ้าซี้ถาม และก็ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ด้วยวิธีการของเขาเอง ซึ่งก็จะมีเหมือนกันนะคะ คนที่เขาทักเป้ยว่า วิธีการเลี้ยงลูกของเป้ย การวางตัวเป็นเพื่อนกับลูกของเป้ย จะทำให้ลูกไม่มีความเกรงใจ แต่จนถึงตอนนี้เป้ยก็ยังไม่เห็นอะไรแบบนั้นจากลูก”
เป้ย ปานวาด เป็นคุณแม่ที่ดุไหม ?
“เป้ยคิดว่าเป้ยใจดีมากนะคะ ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะลักษณะนิสัยของลูกด้วยมั้ง คือเป้ยแทบจะไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องดุพวกเขาเลย อย่าง น้องโปรด น้องโปรดเป็นเด็กที่เป้ยแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง หมายถึง ณ ตอนนี้นะคะ ก็คือเขาเป็นเด็กที่เชื่อฟัง มีความรับผิดชอบสูง มีเป้าหมายในสิ่งที่ตั้งใจอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันทางด้าน น้องปาลิน น้องปาลินคือความสดใสของบ้าน เขาพูดเก่งมาก พูดได้ตลอด พูดได้ไม่หยุด และก็ไม่เคยมีเรื่องอะไรที่เขาทำให้เป้ยต้องดุด้วยเหมือนกัน เป้ยยังสามารถพูดคุยกับเขาอย่างมีเหตุผลได้ เป็นสองพี่น้องมีความแตกต่างกันมากค่ะ”
กฎเหล็กของ เป้ย ปานวาด กับลูกๆ ?
“ต้องแปรงฟันค่ะ (หัวเราะ) และก็ต้องนอนไม่เกิน 20.30 น. คือส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการดูแลตัวเองนี่แหละ เพราะอย่างที่บอกถ้าเป็นเรื่องของความรู้สึก เป้ยกับลูกเราคุยกันตลอด เราคุยกันแบบจริงจังเลยนะคะ ไม่มีการสมมติเรื่องขึ้นมาเพื่อคุย เราเอาข้อเท็จจริงมาคุยกัน อย่างเช่นการซื้อของ ถ้าอยากได้ของสิ่งนั้นจริงๆ ก็ต้องเก็บเงิน หรือต้องทำงาน เอาความจริงมาคุยกัน คุยกันแบบผู้ใหญ่เลยค่ะ ส่วนเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ต หรือการใช้แท็บเล็ต อันนี้เป้ยไม่ได้ปิดกั้นนะคะ เพราะทั้งเรื่องการเรียนเรื่องการศึกษาเดี๋ยวนี้เขาก็ต้องเรียนรู้จากทางนี้ค่อนข้างเยอะ แต่เป้ยจะค่อยดูเขามากกว่าว่าเขาใช้มันทำอะไร หรือถ้าเล่นเกมส์ เขาเล่นเกมอะไร”
น้องโปรด หนุ่มน้อยที่แฟนๆ ต่างก็หลงรักในความอ่อนโยน ?
“ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ แต่ว่าจริงๆ แล้วในความอ่อนโยนของเขา เขาก็มีความเป็นหนุ่มสายบู๊ด้วยเหมือนกันนะคะ มีความเป็นนักกีฬา มีความลุยแบบสุดตัว คือตอนอยู่บ้านน้องโปรดเขาจะอบอุ่น แต่ตอนอยู่โรงเรียน หรืออยู่กับเพื่อน เขาก็มีความลุย (หัวเราะ) คือเป้ยมองว่าทั้งหมดทั้งมวลมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเป้ยเพียงแค่คนเดียว แต่มันเกิดจากคนรอบตัวทุกๆ คนมากกว่าที่หล่อหลอมเขา ทั้งสามีเป้ย ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ ทุกคนต้องช่วยกันและร่วมมือกันค่ะ”
เป็นคุณแม่ที่เข้มงวดเรื่องการเรียนไหม ?
“ถ้าเรื่องนี้สบายมากเลยค่ะ เป้ยแทบจะไม่ซีเรียสเลยด้วยซ้ำ แต่ความไม่ซีเรียสของเป้ย ก็ไม่ได้หมายความว่าได้คะแนนน้อยที่สุดของห้องนะคะ คือเอาแค่พอผ่านก็ได้ แค่นั้นเป้ยก็โอเคแล้ว แต่ถ้าหากเขาทำได้เอง เขาสอบผ่านได้ เขาได้คะแนนดี นั่นก็คือดีกับตัวเขา อย่าสอบผ่านเพราะคิดว่าแม่อยากได้ แต่ให้เขาทำได้เพื่อตัวเขาเอง”
การเป็นคุณแม่ที่อยู่ในวงการบันเทิง ต้องรับมือยังไงกับกระแสข่าวต่างๆ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบถึงลูก ?
“เป้ยบอกความจริงค่ะ บอกความจริงกับลูกไปเลย อย่างเช่นเพื่อนของเขาที่โรงเรียนก็จะบอกว่าแบบ แม่นายเมื่อก่อนเซ็กซี่มากเลยนะ (หัวเราะ) ซึ่งพอเขามาถามเป้ย เป้ยก็จะเปิดรูปให้เขาได้ดู ให้เขาได้เห็นว่าเรามีผลงานอะไรบ้าง หรือเราเซ็กซี่แค่ไหน และเป้ยก็จะอธิบายให้เขาฟังด้วยว่า เห็นใช่ไหมว่าเวลาที่อยู่บ้านแม่เป็นแบบไหน แม่เป็นยังไง สิ่งที่แม่ทำมันก็แค่เป็นการทำงานอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเขาก็รู้ค่ะ เขาเห็นอยู่ทุกวันว่าความเป็นจริงคุณแม่ของเขาเป็นคนยังไง”
เป้ย ปานวาด เคยคิดมาก่อนไหมว่า จะได้เห็นตัวเองในบทบาทคุณแม่เต็มตัวแบบนี้ ?
“เป้ยแค่วาดฝันไว้เพียงว่า อยากมีครอบครัวที่ดี ไม่ได้คิดว่าจะต้องเป็นคุณแม่ลูกสองหรืออะไรก็ตามแต่ หรือเป้ยต้องเป็นคุณแม่แบบไหนเลยด้วยซ้ำ แต่เป้ยเป็นคุณแม่ตามนิสัยของลูก เป้ยเอานิสัยของลูกเป็นหลัก และจากนั้นก็นำเอาสิ่งที่เราเห็นมาปรับให้เข้ากับลูก ปรับวิธีการสอนกับลูก เราต้องปรับกันทุกวัน ปรับไปตามวัย อย่างบางคนอาจจะบอกว่า ลูกโตแล้วสบาย แต่ในความเป็นจริงมันยังมีอะไรอีกหลายอย่างตามช่วงอายุของเขาที่เราต้องเจอ ฉะนั้นเราต้องปรับไปพร้อมๆ กับเขาค่ะ”