จาก Parasite ถึง Child's Play วิบากกรรมของชนชั้นปรสิต
บทความนี้ไม่มีการเปิดเผยประเด็นสำคัญของ Parasite มีแค่เพียงการหยิบยกความน่าสนใจในเรื่อง “ชนชั้น” ซึ่งปรากฏอยู่ในช่วงต้นเรื่องเท่านั้น บทความนี้ไม่กระทบต่ออรรถรสของผู้ที่ยังไม่ได้รับชมภาพยนตร์ครับ
หนังดราม่าระทึกขวัญสัญชาติเกาหลีอย่าง Parasite และหนังสยองขวัญรีเมคอย่าง Child’s Play (2019) ต่างก็มีจุดร่วมที่เชื่อมโยงกันอย่างพอเหมาะพอเจาะ เมื่อบรรดาตัวละครเอกของเรื่อง ต่างก็เป็น “ชนชั้นล่าง” ที่ประสบปัญหาคุณภาพชีวิตเข้าขั้นตกต่ำ มิหนำซ้ำพวกเขาก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากตัวแปรบางอย่างที่โผล่เข้ามาในชีวิตของพวกเขา
สำหรับ Parasite นั้นพาคนดูไปทำความรู้จักกับครอบครัวคี อันประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนที่ดูรักใคร่กันเป็นอย่างดี พวกเขาอาศัยอยู่ในชั้นใต้ถุนของอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับพื้นถนนหน้าบ้านเสียอีก ครอบครัวนี้ประกอบไปด้วยคีวู (ชเววูชิค) ลูกชายคนโตของบ้าน ที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ผ่านถึง 4 ครั้ง หางานประจำหรืองานพาร์ททามไม่ได้ แถมยังไม่มีเงินเก็บ ส่วนคียอง (พัคโซดัม) ลูกสาวคนเล็กของบ้าน ที่สอบเข้าโรงเรียนศิลปะไม่ผ่าน หางานทำไม่ได้เช่นเดียวกัน แต่เธอยังมีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการปลอมแปลงเอกสารได้เป็นเลิศ ส่วนคีแท็ค (ซงคังโฮ) หัวหน้าครอบครัวที่ไม่มีงานทำและล้มเหลวจากการทำธุรกิจมาแล้วหลายครั้งและความพยายามตั้งตัวก็ดูเกินเอื้อมอยู่เสมอ โชคยังดีที่เขายังมีภรรยาอย่างชองซุก (ชางฮเยจิน) อดีตนักกรีฑาทีมชาติที่ดูเข้มแข็งกว่าสามีหลายเท่า
ทางด้าน Child's Play เล่าเรื่องราวของครอบครัวของแคเรน (ออเบรย์ พลาซ่า) คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวผู้มีฐานะยากจนและทำงานเป็นแค่เพียงพนักงานแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เกต สถานภาพทางการเงินที่ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก กับการอุ้มชูเลี้ยงดูลูกชายคนเดียวอย่างแอนดี้ (เกเบรียล เบตแมน) ซึ่งดูเปลี่ยวเหงา ไร้เพื่อน จะกลายเป็นเด็กมีปัญหาอยู่รอมร่อ
ตัวแปรที่สำคัญของหนังเรื่อง Parasite นั้นคือช่วงเวลาที่คีวู ได้รับการติดต่อจากเพื่อนสนิทให้ไปเป็นติวเตอร์ภาษาที่ 3 ให้กับลูกสาวของบ้านตระกูลพัค เพื่อหารายได้พิเศษ เขาจึงใช้ใบวุฒิการศึกษาปลอมที่น้องสาวของเขาช่วยทำขึ้นมา และพยายามปกปิดข้อมูลของครอบครัวตัวเองในตอนที่เขาสัมภาษณ์งานกับคุณนายยอนคโย (โจยอจอง) และเมื่อเขาได้งานสอนเรียบร้อย เขาก็เริ่มมองเห็นช่องทางในการพาครอบครัวของตัวเอง เข้ามาแทรกซึมและร่วมงานตระกูลของคุณพัค
ส่วน Child's Play นั้น ตัวแปรที่ทำให้ตัวละครแอนดี้ ได้รับหุ่น AI แบรนด์ Buddi เป็นของขวัญจากแม่ของเขา ซึ่งหุ่นตัวนี้เป็นหุ่นที่ลูกค้านำมาขอเปลี่ยน เนื่องจากตัวหุ่นนั้นมีอาการประมวลผลผิดพลาด (และแน่นอนว่าด้วยฐานะทางการเงินแบบแคเรนนั้นคงไม่มีปัญญาซื้อสินค้าราคาแพงแบบนี้ให้กับลูกชายอย่างแน่นอน)
ทุกอย่างดูจะไปได้สวยสำหรับคีวู เมื่อเขาสามารถแนะนำให้คุณนายยอนคโย ว่าจ้างครูศิลปะคนใหม่เพื่อมาสอนลูกชายคนเล็ก ซึ่งคีวูก็ให้น้องสาวของเขาสวมรอยเป็นครูมาดขรึมซึ่งเรียนจบในสาขาศิลปะจิตวิทยาเด็กมาจากต่างประเทศ เมื่อคุณนายยอนคโยเห็นวิธีการสอนที่ไม่ธรรมดาของเธอ ทำให้คียองได้งานตามติดคีวูมาอีกหนึ่งคน ก่อนที่เธอจะเริ่มหาวิธีให้พ่อและแม่ของตัวเองได้ เข้ามาร่วมงานกับครอบครัวไฮโซด้วยวิธีการสุดเซอร์ไพรส์จนคนดูต้องทึ่งและชื่นชมในความคิดสร้างสรรค์ของตัวผู้กำกับ บงจุนโฮ
หลังจากที่แอนดี้ได้หุ่นบัดดี้ ซึ่งบอกว่ามันชื่อ “ชัคกี้” มาเป็นเพื่อนแล้ว แม้เขาจะพบว่าหุ่นตัวนี้มีความบกพร่องทางด้านเทคนิคอยู่บ้าง แต่อย่างน้อย เขาก็มีเพื่อนเอาไว้แก้เหงา ยามที่แม่ของตัวเองกลับบ้านดึกดื่น หรือใช้เวลากับมันเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้ปัญหาครอบครัว ที่แม่ของเขามักจะพา “ผู้ชาย” แปลกหน้าเพื่อมีเซ็กส์แบบฉาบฉวย โดยที่เธอไม่เคยคำนึงเลยว่า การกระทำดังกล่าวนั้นจะทำให้ลูกชายอย่างแอนดี้รู้สึกมีปมว่าแม่ของตัวเองเป็นพวกผู้หญิงที่ล้มเหลวในความรักอยู่ตลอดเวลาหลังจากที่เลิกรากับพ่อคนเก่า
สิ่งที่หนังอย่าง Parasite และ Child's Play นำเสนอออกมาอย่างชัดเจน คือสภาพความเป็นอยู่ของชนชั้นล่าง ที่ประสบปัญหาสำคัญโดยเฉพาะเรื่องฐานะทางการเงิน ความลำบากในชีวิต โอกาสในการผลักดันชีวิตของตัวเองให้สามารถก้าวเดินต่อไปในอาชีพการงานเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตัวเอง ยังไม่รวมไปถึงยามที่ถึงคราววิกฤติ ที่ดูเหมือนว่าหนทางในการแก้ปัญหาชีวิตของชนชั้นล่างก็ดูอับจนหนทางสิ้นไร้ไม้ตอกในแบบที่ชนชั้นบนไม่มีโอกาสเข้าใจได้
ถึง Child's Play ในเวอร์ชั่นนี้จะเป็นหนังหุ่นยนต์ทำงานผิดพลาดจนกลายเป็นฆาตกรโรคจิต แต่เนื้อแท้ของหนัง กลับพูดถึงสภาพแวดล้อมทางสังคมที่มีคุณภาพชีวิตต่ำ จนนำไปสู่ปัญหาทางสังคม ซึ่งถ้าจะมองให้เข้าใจง่าย ตัวชัคกี้นั้นไม่แตกต่างอะไรจากเด็กเล็กที่ต้องการคำแนะนำจากผู้ใหญ่ (ในที่นี้คือตัวละครอย่างแอนดี้) ซึ่งตัวแอนดี้เองก็อยู่ในสภาวะเด็กมีปัญหา โหยหาความรักจากแม่ของตัวเอง เป็นเด็กที่บางครั้งก็เผลอก้าวร้าวออกมา จนทำให้หุ่นอย่างชัคกี้เรียนรู้วิธีการตอบสนองพฤติกรรมในเชิงความรุนแรงโดยที่แอนดี้ไม่รู้ตัว เป็นต้น
สำหรับ Parasite เอง คุณภาพชีวิตของครอบครัวตระกูลคี เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตระกูลของคุณพัค เราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเรื่องสภาพความเป็นอยู่ โดยเฉพาะเรื่องฐานะทางสังคม เช่นฉากตอนต้นเรื่องที่คุณพัคแอบเจอกางเกงในผู้หญิงอยู่ที่เบาะหลังของรถ จึงทำให้เขารู้สึกไม่พอใจในความไม่มีมารยาทของคนขับรถคนเก่า ทว่าในเวลาถัดมาระหว่างที่เขาเกิดอารมณ์ทางเพศกับคุณนายยอนคโย เขากลับหยิบเอาประเด็นเรื่องกางเกงในราคาถูกที่เบาะหลังรถ มาเป็นตัวปลุกเร้าอารมณ์เสียว อย่างน่าแปลกใจ
ยังไม่รวมไปถึงการหยิบเอาเรื่องของ “กลิ่น” ที่ว่าด้วยกลิ่นของคนจนซึ่งมีกลิ่นสาบ ตรงข้ามกับแบบที่คนรวยอย่างครอบครัวคุณพัคสัมผัสแต่กลิ่นหอม ซึ่งกลิ่นดังกล่าวเราสามารถตีความได้ว่าน่าจะเป็นกลิ่นของที่อยู่อาศัยซึ่งอยู่ชั้นใต้ถุน ส่งผลให้อากาศไม่ถ่ายเทและมีกลิ่น “อับ” จนกลายเป็นกลิ่นติดตัวแบบที่ตัวละครในเรื่องเอ่ยถึง
กล่าวโดยรวมแล้วทั้ง Parasite และ Child's Play ได้นำเสนอความยากลำบากของชนชั้นล่างที่ต้องเผชิญหน้ากับเคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพียงเพราะแค่พวกเขาอยากจะได้รับความสุขในแบบเดียวกับที่ชนชั้นกลางหรือชนชั้นบนได้รับ ทว่ามันก็เป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินสำหรับพวกเขาในการจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ เพราะมันไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่เอื้อให้พวกเขาเดินไปถึงจุดนั้น สิ่งเดียวที่พวกเขามีคือความหวังอันลมๆแล้งๆและอาจจะไม่มีวันมาถึงเลยด้วยซ้ำไป