"ญดา นริลญา" ยอมแลกชีวิตวัยรุุ่น เลือกเส้นทางนักแสดง เปิดสเปคหนุ่มต้องผ่านแม่
กว่าจะมาถึงวันนี้ไม่ง่าย สำหรับนักแสดงสาวดาวรุ่ง ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร ตอนนี้ขึ้นแท่นเป็นนางเอกเต็มตัวแล้ว กับผลงานละครเรื่องแรก กรงดอกสร้อย ออกอากาศทางช่อง 3HD เรื่องราวกำลังดราม่าเข้มข้นชวนน่าติดตามเลยทีเดียว
ซึ่งหากย้อนเส้นทางในวงการ ญดา เป็นที่รู้จักจากบทบาท มิ้ง ในภาพยนตร์เรื่อง ร่างทรง ด้วยความตั้งใจอยากพิสูจน์ฝีมือการแสดง จึงทำให้เจ้าตัวแจ้งเกิดขึ้นมาจากผลงานชินนี้ และยังผ่านประสบการณ์งานบันเทิงต่างๆ มาแล้วมากมาย ก่อนจะจับปากกาเซ็นสัญญา เปิดตัวเป็นนักแสดงสังกัดช่อง 3 เมื่อปีที่ผ่านมา เมื่อ sanook.com มีโอกาสเจอ ญดา จึงได้พูดคุยทำความรู้สึกกันให้มากขึ้น
เป็นสาววัยรุ่นยุคใหม่ที่เลือกศึกษาธรรมะนำมาปรับใช้กับชีวิต ?
“จุดที่ทำให้หนูไปศึกษาธรรมะ น่าจะเป็นเพราะเริ่มต้นจากการที่หนูชอบการแสดง แล้วก็เริ่มศึกษาในเรื่องของจิตวิทยา แต่พอไปเจอคำสอนของธรรมะแล้วรู้สึกว่า อันนี้ตอบโจทย์แล้วทำความเข้าใจได้ดีกว่า มีเหตุและผลเป็นขั้นเป็นตอนได้เคลียร์ง่ายชัดเจนกว่าก็เลยศึกษาธรรมะเลยค่ะ”
“วัยนี้ควรจะเป็นวัยที่สนุก หนูก็สนุกค่ะ ทำตัวแบบเด็กปกติทั่วไป แต่ว่าเด็กปกติทั่วไปของหนูก็ไม่ได้สนุกสุดเหวี่ยงแบบเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะเราทำงานด้วยก็จะไม่มีเพื่อนไปเที่ยว เพื่อนสนิท เพราะว่าเราเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 13 ปี เราเข้าวงการบันเทิงมาก็ไม่ค่อยได้ไปโรงเรียนแล้วค่ะ เพื่อนที่ได้เจอกันบ่อยๆ เพื่อนสนิทก็ไม่มี จะมีเพื่อนที่สนิทก็คือพี่ในกองถ่าย ก็เลยทำให้เรามาอยู่ในพาร์ตของการทำงานเยอะกว่าช่วงเวลาที่จะไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปฟังเพลง ไปต่างจังหวัดกับเพื่อนก็จะน้อยมากสำหรับหนู”
เคยไปปาร์ตี้เที่ยวสังสรรค์แบบเพื่อนวัยเดียวกันบ้างไหม ?
“ตอนเด็กๆ เคยนะคะ คุณแม่พาไป คุณแม่อยากให้รู้ว่าการปาร์ตี้เป็นยังไง พาไปผับเลย แล้วก็พาไปดื่ม คุณแม่อยากสอนให้รู้ ตอนนั้นเราก็ไม่ได้อยากไป แต่ไปก็ได้ เพราะอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง คุณแม่พาไปตอนนั้นอายุ 18 ปี ไปประมาณ 2 ครั้ง คุณแม่คิดว่าเราไม่มีเพื่อนสนิท คงไม่ได้มีโอกาสไปเองแน่ๆ ก็เลยพาไปเปิดหูเปิดตา จริงๆ หนูเป็นเด็กอินโทรเวิร์ต ไม่ชอบเข้าสังคม ไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ”
ยอมสูญเสียชีวิตวัยรุ่น เพื่อได้เข้ามาเป็นนักแสดงอย่างที่ตั้งใจ ?
“ไม่มีก็ว่าได้ค่ะ เราทำงานตั้งแต่อายุ 13 ถ้ามองย้อนกลับไปเรารู้สึกเสียดายช่วงชีวิตตอนนั้นมั้ย หนูเคยถามตัวเองเหมือนกัน การที่เรามีชีวิตแบบเพื่อนคนอื่น มีความสุขโดยที่ไม่ต้องเครียดกับการทำงาน สรุปก็ได้คำตอบว่าถ้าเราแลกกันกับการที่เราไปใช้ชีวิตปกติตอนนั้น แล้วเราไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง ไม่ได้ทำงานแสดง เราก็ได้คำตอบของตัวเองว่า ไม่ค่ะ หนูรู้สึกว่าหนูมีความสุขมากกว่าในการที่ได้ทำงานแสดง การได้ทำงานในกองถ่าย”
งานแสดงเป็นความฝันมาตั้งแต่เด็ก ?
“ตั้งแต่ตอนเด็กไม่ได้มีความคิดว่าอยากจะแต่งตัวสวยหรือว่าเป็นคนกล้าแสดงออกอะไรเลยค่ะ หนูเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงออก เป็นเด็กเก็บตัวและพูดน้อยมาก เล่นคนเดียว จุดเริ่มต้นคือการที่หนูได้ไปแคสต์โฆษณา จากการที่ไปแคสต์วันนั้นหนูไม่รู้หรอกว่ามันคืออะไร ไม่รู้ว่ามันคือการแสดง สิ่งนี้คืออาชีพการแสดง"
"แต่หนูรู้ว่าหนูตื่นเต้นและมีความสุขมาก มันตื่นเต้นแบบที่เราไม่เครียดไม่กดดันตัวเอง กลับมาบ้านหนูมาเล่าให้กับทุกคนฟัง ว่าเขาให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ มาเล่าให้ญาติฟังทั้งๆ ที่เราไม่ได้เป็นเด็กช่างพูด แต่กับเรื่องนี้หนูพูดเยอะมาก ส่วนตัวยังแปลกใจกับตัวเองว่า เราเป็นคนขี้อาย แต่เวลาที่เราแสดงเรากับลืมคนรอบข้างไปหมดเลย ลืมช่างภาพลืมทุกคนที่อยู่ข้างๆ และเล่นเป็นตัวละครที่เราได้รับบทบาทไปได้ยังไงเราก็ยังไม่รู้”
เราชอบที่ได้สวมบทบาทเป็นคนอื่น ?
“เราอาจจะชอบในการที่เราได้ตีความเป็นมนุษย์ เรียนรู้ว่าตัวละครตัวนี้เขามีลักษณะนิสัยอย่างไร เติบโตมาอย่างไร ตอนตีความตัวละครหนูชอบมาก และยิ่งสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้นมันยิ่งทำให้รู้สึกท้าทายตัวเอง อีกอย่างพอเราไม่มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตจริงๆ การที่เราได้มาเป็นตัวละครแต่ละตัว มันกลับสอนเราได้ดีด้วยซ้ำ"
"เพราะว่าสิ่งที่ตัวละครรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความเศร้า เสียใจ หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นในตัวละครตัวนั้น เราจะรู้สึกว่ามันเหมือนเกิดขึ้นกับชีวิตเรา และเราได้ทำความเข้าใจหลายอย่างมาก เรื่องการใช้ชีวิตของคนเรา ส่วนมากเลยทุกตัวละคร หรือทุกคนบนโลกนี้ ชีวิตคนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องมีอุปสรรคต้องมีปัญหาหรือความทุกข์ที่เข้ามาในชีวิต ที่ผ่านมาเราไม่ได้ทำความเข้าใจกับเรื่องราวในชีวิตของเราได้มากขนาดนั้น เราก็ได้เรียนรู้ไปกับตัวละคร เรียกว่าเราเติบโตไปกับตัวละครแบบนั้นก็ได้”
จากตอนแรกเป็นคนขี้อาย กลัวการถูกจับจ้อง กลัวคนเยอะ มันหายไปเลย ?
“ใช่ค่ะ มันหายไปเลย เมื่อก่อนเวลาออกไปข้างนอกหรือถูกใครมองก็จะเกร็ง หรือแม้กระทั่งออกไปยืนหน้าห้องเรียนก็ยังไม่รู้ว่าจะเอามือวางไว้ตรงไหน ไม่กล้าสบตาใครเลย จะเดินก้มหน้า ตอนนี้ไม่เป็นแล้วค่ะ หายไปเลย เหมือนกับว่าสมาธิเราจะไปจดจ่อกับการแสดงเป็นหลัก ไม่ได้โฟกัสที่คนรอบข้างเยอะ”
เรามีประสบการณ์ชีวิตน้อย มีวิธีตีความบทบาทตัวละครที่ได้รับอย่างไร ?
“แต่ละตัวละครหนูก็จะตีความก่อน ดูว่าเขาเติบโตมาอย่างไร ถ้าเรื่องนี้เราไม่เคยมีประสบการณ์ร่วม เราก็จะหาตัวช่วยค่ะ เช่นปรึกษาคุณแม่ หรือปรึกษาคนที่เขาผ่านประสบการณ์ตรงนั้นมาแล้ว หรือว่าเรารู้ว่าตัวละครตัวนี้มีลักษณะคล้ายกับใครที่ใกล้ตัวเรา ก็จะเข้าไปคุยกับเขา หรือหยิบยกตัวอย่างบางเหตุการณ์ในชีวิตเขา"
"ซึ่งก็ขออนุญาตเขาก่อนค่ะ กลายเป็นว่าหนูได้หยิบยกชีวิตบางอย่างของเขา ที่บทละครไม่ได้เขียนไว้ เป็นเหมือนช่องว่างที่มันหายไปของตัวละคร ซึ่งอันนี้เป็นกุญแจตัวสำคัญที่มาไขตรงนั้น ที่ทำให้เราพาตัวละครไปถึงในจุดต่างๆ ได้ ก็ไปได้ส่วนนั้นของคนที่เราไปพูดคุยกับเขา มาใช้กับตัวละคร”
กว่ามาถึงจุดนี้เราสู้ชีวิตมาพอสมควร ?
“ใช่ค่ะ ช่วงที่หนูเพิ่งเริ่มเข้าวงการตอนอายุ 13 ตอนนั้นหนูยังเรียนอยู่ที่ต่างจังหวัด เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอุทัยธานี เราเริ่มมีคนเรียกมาแคสต์งาน ซึ่งงานทั้งหมดจะอยู่ในกรุงเทพฯ คุณแม่ก็ต้องไปรับหนูแล้วก็นั่งรถมากรุงเทพฯ ซึ่งพื้นฐานครอบครัวเราไม่ได้มีทุนสำรองที่จะให้เราเดินทางไปกลับกรุงเทพฯ และค่าที่พัก เราไม่ได้มีทุนมากขนาดนั้น"
"ทำให้คุณแม่ต้องไปหาอาชีพเสริมเพื่อหาเงินมาส่งค่ารถและค่าที่พักให้กับเราตอนที่มาแคสต์งาน ปกติคุณแม่เปิดร้านเสริมสวย พอเขารู้ว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นในการที่เราต้องไปแคสต์งาน เขาก็ไปขายของในตลาดเพื่อเอาเงินตรงนั้นมาให้หนูไปใช้ในการแคสต์งานค่ะ ตอนนั้นมีช่วงที่เราต้องหยุดแล้ว เพราะคุณแม่บอกว่า แคสต์ไปหลายงานแล้วยังไม่ได้สักที เราคงต้องหยุดเพราะเราไม่ได้มีทุนสำรอง เสียเวลา เสียการเรียน เสียหลายๆ โอกาส เขาก็เลยบอกกับหนูว่าถ้าแคสต์งานครั้งนี้ไม่ได้ แม่จะไม่พามาแล้ว”
“วันนั้นหนูเสียใจมากค่ะ ซึ่งวันนั้นหนูขึ้นมาแคสต์ 5 งานค่ะ สรุปว่าได้ทั้งหมด 3 งาน มันทำให้หนูหยุดไม่ได้กับการที่จะไปต่อกับงานในวงการบันเทิง จริงๆ มันหลายครั้งมาก กับการที่เราเลือกที่จะหยุดแล้ว แม่หนูบอกว่าเราอยากพับเสื่อกลับบ้านแล้ว เป็นแบบนี้ประมาณ 2-3 ครั้ง แต่มันต้องมีอะไรที่มาเป็นตัวที่จะทำให้เราต้องกลับมา”
ความรักตอนนี้มีคนเข้ามาดูแลหัวใจหรือยัง ?
“ก็มีคนเข้ามาจีบอยู่นะ ตอนนี้ยังโสดอยู่ค่ะ ยังไม่มีแฟน แต่ก็มีคนเข้ามาคุยบ้างค่ะ”
ด้วยความที่เราดูคนออก ทำให้เราเลือกเยอะขึ้นมั้ย ?
“มีคนบอกว่าความรักทำให้เราตาบอด (หัวเราะ) ตอนเด็กวัยใส เราก็เคยตาบอดมาบ้างค่ะ แต่ด้วยความที่เราอยู่กับคุณแม่ตลอด ก็เลยไม่มีเรื่องที่เสียหายอะไร ตอนนี้ก็เรื่อยๆ ค่ะ”
รออะไรถึงยังไม่ยอมมีความรัก ?
“ความจริงเราก็เป็นเสาหลักให้กับครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก เราโฟกัสแต่เรื่องการทำงานหาเงิน เรื่องความรักก็เป็นเรื่องรองไปในตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองนะคะ รู้สึกว่าถ้าเกิดสามารถจัดการเวลา และสามารถทำควบคู่กันไปได้กับงาน ก็ไม่ได้ปิดกั้นค่ะ”
สเปคของญดาหนุ่มคนนั้นต้องเป็นอย่างไร ?
“สเปครูปร่างหน้าตาไม่ได้มีชัดขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าเป็นคนหน้าตาดี หนูไปโฟกัสที่นิสัยมากกว่า คือต้องเป็นคนที่โตระดับหนึ่ง เรารู้สึกว่าพอเรารับผิดชอบอะไรมาเยอะ ถ้าเกิดเราไปเจอคนที่ใช้ชีวิตชิล เหมือนมาเล่นๆ เราก็จะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเกิดเป็นคนที่มีการวางแผนชีวิต แบบนี้ถือว่าถูกต้อง”
สเปคเราต้องระดับพระเอกเลยมั้ย ?
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกค่ะ ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องหล่อระดับพระเอก ขอแค่ดูดี นิสัยเข้ากับเราได้แค่นั้นก็พอ ถ้าเป็นคนในวงการก็ไม่ติดค่ะ”
เราตัวติดกับคุณแม่มาตลอด ท่านหวงขนาดไหน ?
“โอ้โห สุดๆ สำคัญมาก คนที่เข้ามาต้องผ่านแม่ก่อน ต้องเข้ากับแม่เราได้ เพราะว่าแม่ต้องอยู่ด้วยค่ะ จริงๆ ไม่ใช่สเปคเรา เรียกว่าสเปคแม่มากกว่าค่ะ ถ้าจีบแม่ผ่าน ลูกก็ไม่ยาก (หัวเราะ)”
ละคร กรงดอกสร้อย เรื่องราวกำลังเข้มข้น กระแสตอบรับเป็นอย่างไร ?
“กรงดอกสร้อย เป็นละครแนวพีเรียดดราม่าเข้มข้น หนูรับบทเป็น สร้อยอินทนิล เรื่องนี้ก็หนักพอสมควร คือบทบาทของสร้อยอินทนิลเขาเป็นคนที่เหมือนมีปม และมีเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมามันค่อนข้างหนัก เลยทำให้ตัวละครนี้ต้องลุกขึ้นมาสู้และก็ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาตัวเองค่ะ”
“ฟีดแบคดีเลยค่ะ คือตอนนี้เดินไปไหนมาไหนก็มีคนทัก แล้วก็จำเราได้จากเรื่องกรงดอกสร้อยแล้ว เรียก นิล บ้างก็ดีใจค่ะ จริงๆ พาร์ทของดราม่าก็ไกลตัวอยู่แล้ว แต่อีกพาร์ทนึงที่หนูว่าไกลก็คือเรื่องของความรัก ความที่มันจะมีโหมดโรแมนติก ก็เรียกว่าเปิดประสบการณ์หนูเหมือนกัน คือไม่เคยเล่นละคร ไม่เคยผ่านการแสดงที่โรแมนติกหนักขนาดนี้ พอมาเจอเรื่องนี้ก็รู้สึกได้ประสบการณ์เยอะอยู่เหมือนกันค่ะ”
“ตัวละครดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ผ่านเหตุการณ์หลายๆ อย่างไป แล้วพอไปถึงจุดนึงด้วยความที่เราไม่ได้มีประสบการณ์ไปถึงจุดนั้นในชีวิตจริง หนูก็ไม่ค่อยเข้าใจได้แบบชัดเจนขนาดนั้น ก็ต้องทำการบ้านคุบยกับพี่เมย์ ในระหว่างที่ถ่าย พอถ่ายไปปุ๊บ พอเทคแล้วพี่เมย์ก็ต้องมานั่งคุยกับหนูว่า มันยัไม่ถึงความรู้สึกที่ตัวละครเขารู้สึก หรือที่เรารู้สึกมันอาจจะไม่ได้ตรงกันกับที่ตัวละครเขารู้สึก นานมากตอนถ่ายฉากพวกนี้ค่ะ จำได้ตอนนั้นก็เครียด เครียดในตัวละครแล้วพอมาฟังพี่เมย์น้ำตาไหลอยู่เลย ยังเครียดอยู่เลยค่ะ ยากมากว่าจะได้ฉากนั้น”
ประสบการณ์ญดาผ่านบทเลิฟซีนมาน้อย ?
“น้อยค่ะ ที่ผ่านมาของหนูจะเป็นดราม่า แนวสยองขวัญ แนวที่ดูโหดๆ หน่อยหนูจะถนัดทางนั้นมากเลยค่ะ พอมาในโหมดความรักก็ต้องปรับเยอะ แต่ว่าผ่านเรื่องนี้ไปแล้วก็สบายแล้วค่ะ (หัวเราะ)”
ตอนเข้าฉากเลิฟซีนช่วงแรกๆ เขินมากมั้ย ?
“เขินค่ะ เขินเลยจริงๆ ที่กองมีครูสอนการแสดงอีกคนนึงด้วย ก็ได้ครูสอนการแสดงมาช่วยละลายพฤติกรรมเรา มาบอกให้หนูผ่อนคลายลง ไม่เครียดเกินไป เพราะว่าเวลาที่เราเครียดแล้วมันมีผลต่อการแสดงจริงๆ มันเห็นออกมาเลยที่สีหน้าแววตา ก็ต้องปรับตัวเองแต่ก็โชคดีที่พาร์ตเนอร์ดีด้วยค่ะ พี่ภณเขาก็มืออาชีพ เขาก็ผ่านการเล่นโรแมนติกมาเยอะ พี่ภณก็คือสายตา อู้ว ส่งมาให้ดีมาก”
จากนี้ผลงานมีให้ติดตามติดๆ กันเลย ?
“ใช่ค่ะ ช่วงนั้นหนูถ่ายติดๆ กันเลย พอออนแอร์ก็เลยพร้อมกัน อีกเรื่องหลายคนคงข้องใจว่าทำไมหนูเซ็นสัญญาช่อง แล้วยังไปเล่นที่อื่นได้ เพราะว่าเรารับงานไว้ก่อนแล้วที่จะมาเซ็นสัญญาช่อง 3 ค่ะ แต่หลังจากนี้หนูก็จะไปช่องอื่นไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังสามารถเห็นหนูในแพลตฟอร์มต่างๆ อยู่ หรือภาพยนตร์ที่ยังเล่นได้”
เหตุผลตัดสินใจเซ็นสัญญากับช่อง 3 ?
“น่าจะเป็นเพราะเมื่อตอนเด็กๆ เล่นละครกับช่อง 3 แต่เป็นละครช่อง 28 ตอนนั้นช่องก็ชวนเซ็นสัญญา แต่เรายังเด็กอยู่ ก็คุยกับคุณแม่ว่ายังอยากหาประสบการณ์ที่มันหลากหลาย ตอนนั้นสัญญาก็ไม่ได้เป็นแบบตอนนี้ที่ว่ารับหนังได้ เราก็ยังไม่รู้ เพราะยังไม่เห็นรายละเอียดสัญญา ตอนนั้นก็ปฏิเสธไป แต่ก็บอกกับเขาว่า ถ้าวันหนึ่งอยากจะเซ็นสัญญา จะมาเซ็นกับช่อง 3 แน่นอนค่ะ”
“จากตอนนั้นหนูอายุ 15-16 ตอนนี้หนูอายุ 23 เป็นสัญญา 5 ปีค่ะ รอบนี้เขากลับมาชวนเราอีก แล้วเขาให้เราเล่นละคร 2 เรื่อง เลยมีการคุยเรื่องสัญญา ซึ่งเราก็ไม่ติด เพราะช่อง 3 เป็นที่ที่เราอยากอยู่สุดแล้ว ถ้าเราจะเลือกอยู่กับสังกัดไหน การมีสังกัดมันทำให้เราอุ่นใจ เพราะก่อนน้านี้เราเป็นนักแสดงอิสระ เราก็รู้แล้วว่ามันเป็นยังไง มันต้องปากกัดตีนถีบนิดหนึ่ง ด้วยว่าเราไม่ได้มีสังกัดคอยป้อนงานให้ตลอด ก็จะมีหวั่นๆ ว่าเดือนหน้าเราจะมีงานไหม”
“อีกอย่างที่ตัดสินใจเซ็นสัญญา เพราะว่าเราอยากเล่นละครด้วย คือก่อนหน้านี้ฐานคนที่รู้จักเรา ก็เป็นกลุ่มคนที่ดูภาพยนตร์ การที่มาเล่นละคร มันก็จะเป็นการให้คนอีกกลุ่มได้รู้จักเรา แล้วเราก็เอ็นจอยกับงานแสดงด้วย แล้วช่องก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่จะให้เรารับหนังได้”
ตอนนี้ได้เป็นนางเอกเต็มตัวแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งขั้นของความสำเร็จได้มั้ย ?
“ตอนนั้นพี่หนุ่ม กรรชัย โทรมา พี่เมย์ เฟื่องอารมณ์ โทรมา บอกว่ามีละครเรื่องหนึ่งบทประมาณนี้สนใจมั้ย ตอนนั้นหนูดีใจค่ะ เพราะก็อยากลองงานในด้านละครเหมือนกัน ที่ผ่านมาเราก็มีผลงานในซีรีส์บ้าง ในหนังบ้าง พอต้องมาแสดงละครอย่างจริงจัง ตอนเด็กก็เคยเล่นละคร แต่ก็ไม่ได้เล่นนานแล้ว เล่นตอนอายุ 15-16 ตอนนั้นเล่นไปสองเรื่อง หลังจากนั้นก็ยังไม่ได้เล่นแบบจริงจัง ตอนนั้นเราไม่ได้หวังถึงเรื่องของฟีดแบค แต่ตอนนี้มันเกินความคาดหวังของเราไปมากค่ะ”