รู้สิทธิของตัวเอง! “กฎหมายคุ้มครองแรงงาน” ที่ลูกจ้างทุกคน “ต้องรู้”
Highlight
- พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้เวลาทำงานปกติของงานทั่วไป ต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน หรือตามที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์
- แต่ละองค์กรจะมีการกำหนดจำนวนโควตา “วันลา” ที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับข้อกำหนดอื่น ๆ ที่อาจจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงขององค์กร อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดวันลาตามกฎหมายเอาไว้เช่นกัน
- พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2566 ได้เพิ่มบทบัญญัติ มาตรา 23/1 ที่ให้นายจ้างและลูกจ้าง ตกลงให้ลูกจ้างนำงานที่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานประกอบการหรือนอกสำนักงานของนายจ้าง ไปทำที่บ้านหรือที่พักอาศัยของลูกจ้าง
- กฎหมายแรงงานใหม่กำหนดให้เมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน ลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธในการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าในทางใด ๆ
แม้จะมีเหตุผลจำเป็นมากแค่ไหน แต่ก็ดูจะไม่หนักแน่นพอให้นายจ้างอนุมัติวันลาให้ลูกจ้าง จนกลายเป็นดราม่าร้อนบนโซเชียลมานักต่อนัก และข่าวดราม่าลูกจ้าง - นายจ้างเหล่านี้ก็สลับสับเปลี่ยนเวียนมาให้เห็นกันอยู่ตลอด นำไปสู่คำถามว่าคนทำงานส่วนใหญ่มีเข้าใจและรู้เรื่อง “กฎหมายคุ้มครองแรงงาน” มากน้อยแค่ไหน เพราะการรู้ข้อกฎหมายจะทำให้ลูกจ้างสามารถ “ปกป้องสิทธิ” และรักษาผลประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับได้นั่นเอง
- เกินไปไหม? สาวเผยแชตสุดอึ้ง ขอลางานหลังสูญเสียคุณแม่ แต่เจอหัวหน้าสั่งให้ลาออก
- พนักงานขอลางาน สุดอึ้ง หัวหน้าตอบกลับมา "อย่าหัดให้พ่อแม่เป็นคนอ่อนแอ"
- พนักงานสาววัย 19 ลาไปงานศพปู่ นายจ้างอนุญาตแต่โดนไล่ออก ซ้ำไม่จ่ายเงินค่าแรง
Sanook มัดรวมข้อกฎหมายที่ลูกจ้างทุกคนต้องรู้ เพื่อสิทธิประโยชน์ของตัวเอง และไม่ถูกเอาเปรียบจากองค์กร
กฎหมายคุ้มครองคนทำงาน
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 กำหนดให้เวลาทำงานปกติของงานทั่วไป ต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง/วัน หรือตามที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกัน แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ เว้นแต่งานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง ที่กำหนดให้มีเวลาทำงานไม่เกิน 7 ชั่วโมง/วัน แต่เมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นต้องไม่เกิน 42 ชั่วโมง/สัปดาห์
ตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ระบุว่า นายจ้างต้องให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่น้อยกว่า 1 วัน/สัปดาห์ โดยให้มีระยะห่างกัน 6 วัน ทั้งนี้ นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้ากำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์วันใดก็ได้
ลาป่วย ลากิจ เป็นสิทธิของลูกจ้าง
แต่ละองค์กรจะมีการกำหนดจำนวนโควตา “วันลา” ที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับข้อกำหนดอื่น ๆ ที่อาจจะขึ้นอยู่กับข้อตกลงขององค์กร อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ได้กำหนดวันลาตามกฎหมายเอาไว้เช่นกัน โดยแบ่งได้ดังนี้
- ลาป่วย: มาตรา 32 ระบุว่า ลูกจ้างสามารถลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง สูงสุด 3 วันที่ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ แต่เมื่อประกอบกับมาตรา 57 กฎหมายกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างในวันลาป่วย เท่ากับอัตราค่าจ้างในวันทำงานตลอดเวลาที่ลา แต่ต้องไม่เกิน 30 วัน/ปี แปลว่าหากลูกจ้างใช้สิทธิ์ลาป่วยไม่ถึง 30 วันทำงาน/ปี และเป็นการลาที่ถูกต้องตามระเบียบขององค์กร องค์กรนั้น ๆ ไม่มีสิทธิหักค่าจ้างในวันที่ลาป่วยนั้น
- ลากิจ: มาตรา 34 ประกอบมาตรา 57/1 กำหนดให้ลูกจ้างสามารถลากิจเพื่อกิจธุระอันจำเป็นได้ปีละไม่น้อยกว่า 3 วันทำงาน และนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างในวันลากิจ เท่ากับค่าจ้างในวันทำงานปกติตลอดเวลาที่ลา แต่ต้องไม่เกิน 3 วัน/ปี
- ลาพักร้อน: มาตรา 30 มาตรา 64 และมาตรา 67 ให้ลูกจ้างที่ทำงานมาแล้วครบ 1 ปีมีสิทธิลาพักร้อนได้ ไม่น้อยกว่า 6 วัน/ปี หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ปีต่อมานายจ้างอาจให้สิทธิวันลาพักร้อนมากกว่า 6 วันก็ได้ แต่สำหรับลูกจ้างที่ยังทำงานไม่ครบ 1 ปี นายจ้างอาจกำหนดวันลาพักร้อนโดยคำนวณให้ตามส่วนที่ได้
กฎหมายใหม่อนุญาตให้ Work From Anywhere
พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ฉบับ พ.ศ. 2566 ได้ปรับปรุงกฎหมายแรงงานกฎหมายแรงงานเดิมให้เหมาะกับสภาพปัจจุบัน โดยไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ชี้ว่า พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีบทบัญญัติบางประการที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งมีรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไปมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงได้เพิ่มเติมบทบัญญัติที่จะส่งเสริมคุณภาพชีวิตของลูกจ้าง และเป็นประโยชน์กับการประกอบกิจการของนายจ้าง
โดย พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2566 ได้เพิ่มบทบัญญัติ มาตรา 23/1 ที่ให้นายจ้างและลูกจ้าง ตกลงให้ลูกจ้างนำงานที่สามารถปฏิบัติงานนอกสถานประกอบการหรือนอกสำนักงานของนายจ้าง ไปทำที่บ้านหรือที่พักอาศัยของลูกจ้าง หรือตกลงให้ลูกจ้างทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานที่ใด ๆ ได้ และลูกจ้างที่ทำงานที่บ้านหรือผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสถานที่อื่น ๆ มีสิทธิเช่นเดียวกับลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบกิจการของนายจ้าง
นอกจากนี้ เมื่อสิ้นสุดเวลาทำงานตามที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน ลูกจ้างมีสิทธิปฏิเสธในการติดต่อสื่อสาร ไม่ว่าในทางใด ๆ กับนายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมงาน หรือผู้ตรวจงาน เว้นแต่ลูกจ้างได้ให้ความยินยอมโดยทำหนังสือไว้ล่วงหน้าก่อน โดยกฎหมายดังกล่าวนี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2566 เป็นต้นไป