เนื้อหาในหมวด ข่าว

“น้องแม็ค” เล่าประสบการณ์โดนบูลลี่ คำว่า “ดารา” สร้างปมจี๊ดใจตั้งแต่เด็ก

“น้องแม็ค” เล่าประสบการณ์โดนบูลลี่ คำว่า “ดารา” สร้างปมจี๊ดใจตั้งแต่เด็ก

มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็ก สำหรับ น้องแม็ค-ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ แต่ใครจะรู้ช่วงที่เจ้าตัวเรียนหนังสือชั้นประถม แถมเริ่มเข้าวงการบันเทิงแล้ว เป็นนักเรียนคนเดียวในห้องที่ต้องเรียนและทำงานไปด้วย กลายเป็นชีวิตในรั้วโรงเรียนตอนนั้น ต้องเผชิญความเครียดพักใหญ่ จากพฤติกรรมของเพื่อนและคุณครูบางคนที่มีอคติส่วนตัว จนทำให้หนุ่มน้อยเกิดปมในใจกับคำว่า ดารา มาจนถึงวันนี้ เมื่อ sanook.com มีโอกาสพูดคุยกับ น้องแม็ค จึงให้แชร์ประสบการณ์โดนบูลลี่ และแนะนำวิธีรับมือในแบบฉบับของตัวเอง

โดย แม็ค เผยว่า “ถ้าโดนบูลลี่จะเป็นช่วงตอนเด็กๆ ช่วงเรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นช่วงที่เราไม่ค่อยได้ไปเรียนด้วย เพื่อนไม่ได้เยอะมีแค่ในห้องของตัวเอง เล่นกีฬากันเหมือนบางครั้งก็อาจจะมีแบบตามประสาเด็ก ทะเลาะกันในกีฬาบ้าง บางครั้งเพื่อนคนนึงไม่ชอบเราปุ๊บ เขาไปบอกคนอื่นว่าไม่ให้คุยกับเรา จริงๆ ตอนเด็กตอนนั้นก็เครียดอยู่เหมือนกัน เพราะว่าตอนนั้นไม่ได้มีปัญหาแค่เพื่อน มีปัญหากับคุณครูด้วย

ตอนนั้นคุณครูไม่ค่อยชอบเรา บางครั้งเราก็ซนบ้าง เหมือนการเป็นว่าเขาไปอคติกับเราเลย กลายเป็นมาเพ่งเล็งเรา นั่งอยู่ในห้องก็จับจ้องแต่จะเอาผิดเรา แล้วเพื่อนก็ไม่คุยด้วยอีก เหมือนคุยกันข้ามหัวเราเลย เราพูดอะไรก็เมินๆ อย่างเดียวเลย ทำตัวไม่สนใจ ทำเหมือนเราเป็นลม ครูก็จะมีอคติกับเรา”

ตอนนั้นแก้ปัญหาหรือมีวิธีรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ยังไง ?

“ตอนนั้นแม็คจำไม่ค่อยได้แล้ว เหมือนสรุปก็เคลียร์กับเพื่อนกลับมาดีกันปกติ เพราะมันก็ตามประสาเด็ก แกล้งๆ กันแป๊บเดียวไม่ได้จริงจังถึงขั้นแค้นอะไรขนาดนั้น แต่ถ้ากับครูแม็คก็แก้ปัญหาโดยที่เราพยายามทำตัวดีๆ แต่ว่ามันก็ยังมีเรื่องบ้าง เราก็เลยมีถึงขั้นเรียกผู้ปกครองมาเคลียร์เลย เป็นคุณพ่อมาคุย เหมือนตอนแรกแม็คจะย้ายโรงเรียนเลย คุณพ่อเลยต้องมาคุยว่าสรุปเรื่องมันเป็นยังไง”

ตอนนั้นเครียดหรือทุกข์ใจขนาดไหน ?

“ตอนนั้นไม่อยากเรียนวิชาครูคนนั้นเลยครับ โทรบอกแม่เลยว่าคาบหลังจากพักเที่ยงจะมีเรียนกับครูคนนี้ ขอลาครึ่งวันได้มั้ย ไม่อยากเรียนเลย เพราะมันไม่มีความสุขเลย เรียนไปแล้วเขาก็แบบเหมือนไม่อยากให้เราอยู่ในห้องด้วยซ้ำ”

แม้จะยังจะเป็นเด็กเรียนอยู่ชั้น ป.3 ก็รู้สึกได้เลยว่าเรากำลังถูกบูลลี่ ?

“มันเหมือนไม่เชิงบูลลี่มั้งครับ เหมือนว่าเด็กๆ ก็มีความซนด้วย ก็เข้าใจในส่วนนี้เด็กๆ เราอาจจะมีซนบ้าง แกล้งเพื่อนบ้าง ครูบางคนเขาก็อาจจะหมั่นไส้ เห็นว่าเราขาดเรียนบ่อยด้วย เพื่อนบางคนก็หมั่นไส้เพราะว่าแม็คเป็นเด็กที่ขาดเรียนบ่อย แต่ว่าแม็คยังได้เกรดดีอยู่ เพราะว่าแม็คตามงานครบหมด แม็คไม่เคยขาดงาน”

ตอนนั้นครูกับเพื่อนรู้มั้ยว่าเราขาดเรียนเพื่อไปทำงานถ่ายละคร ?

“รู้ครับ เขารู้กันหมด เหมือนเขาเห็นว่ามันไม่ค่อยมาเรียน มีผู้ปกครองก็มีนะครับ มีผู้ปกครองของเพื่อนมาร้องเรียนกับครูตรวจสอบได้มั้ย แม็คทำไมไม่มาเรียน แต่ทำไมถึงได้เกรดดีจัง ครูแอบช่วยหรือเปล่า อันนี้เรื่องจริงแม็คทำงานตอนกลางคืนแล้วแม่ก็จะมาส่งให้ตอนเช้า ทิ้งไว้ที่ป้อมยามโรงเรียน ฝากไว้ให้คุณครู มันก็คือวิธีการตามงานในแบบของเรา ก็เราไม่ได้ขาดส่งงานจริงๆ มีสิทธิ์ที่ทำให้เราได้เกรดดีได้ แม็คตามทันค่อนข้างไวหมายถึงเรื่องเรียน เป็นคนหัวไวเรียนแป๊บเดียวก็สอบได้”

แสดงบทบาทในละครหลายคนชื่นชม แต่ชีวิตจริงต้องเผชิญปัญหาหนักเหมือนกัน ?

“ใช่ มันมีปัญหาเรื่องของเวลาไปเรียน มีปัญหากับที่โรงเรียนมากก็คือยอมรับแหละ ตอนเด็กๆ ซนจริงอาจจะเกเรบ้าง เพราะชื่อเสียงเรื่องซนมันต่อกันเป็นทอดๆ แต่แม็คไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนขนาดนั้นนะ ไม่ได้ไปบูลลี่คนอื่น หรือไปแกล้งไปต่อย หรือไปทำอะไรใครขนาดนั้น อาจจะมีเล่นแรงบ้าง แต่น้อยมากเพราะบางครั้งมันเล่นกันตอนเด็กๆ ก็ไม่รู้ คุณครูบางคนก็เลยไม่ชอบ บอกแม็คมันคิดว่าดังแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือเปล่า”

เราได้หาเหตุผลกับเรื่องนี้มั้ย ทำไมมันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ?

“ตอนนั้นหาไม่ได้เลยครับ เพราะว่าอยู่ดีๆ ครูเขาก็ ไม่ใช่ครูที่สอนแม็คด้วยนะ ช่วงนั้นแม็คขาใส่เฝือกอยู่ต้องนั่งรถเข็น เหมือนได้ยินว่าคาบเรียนนี้จะสับเปลี่ยนครู ให้ครูอีกคนมาสอนแทน แม็คก็เจ็บขาไงก็ลงไปทายา ยอมรับว่าตอนนั้นหาเรื่องลงไปทายา เพราะว่าครูที่กำลังจะมาดุมาก ไม่ใช่ครูคนเดิมนะ เป็นคนนึงยังไม่เคยสอนแม็คเลย คือครูห้องพยาบาลบอกอยู่แล้วว่างตอนไหนให้ลงมาทายา เราก็เลือกตอนนี้แล้วกัน ยอมรับไม่ได้อยากเรียนกับครูคนนี้ด้วย ก็ให้เพื่อนเข็นรถลงมาให้ เหมือนกลายเป็นว่าเรามาคุยเล่นกับเพื่อน กลายเป็นว่าครูคิดว่าเราโดดเรียนเขา

อยู่ดีๆ วันต่อมาเขาก็เดินเข้ามาในห้อง ว่าแม็คว่าแบบคิดว่าเป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้เหรอ แม็คก็งง เขายังไม่เคยสอนแม็คด้วยซ้ำ เขายังไม่เคยคุยกับแม็คเลยนะ นั่นคือครั้งแรกที่แม็คเจอเขา ตอนนั้นแม็คยังอึ้งอยู่ไม่ได้พูดอะไรกลับไป ตอนนั้นคือเจ็บขาจริงๆ ช่วงนั้นอยู่ ป.3 นะ เราลงมาไม่ได้ไปไหนอยู่ห้องพยาบาล แต่ครูเขาบอกประโยคนี้ก็คือ อย่าคิดว่าเป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ”

เป็นแค่เรียนชั้น ป.3 ได้ยินประโยคนี้แล้วรู้สึกอย่างไร ?

“เราไม่ชอบประโยคนี้มากเลย มันมีปมกับคำว่าดารา มันกลัวคำนี้จริงๆ เพราะว่ามันไม่ใช่แค่ครูไง มันมีเพื่อนบางคนด้วยที่หมั่นไส้เรา เออ บอกว่าเป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ คือมันไม่ใช่แค่คนเดียว มันมีหลายคนที่อคติกับเรา หมั้นไส้ แม็คก็ไม่รู้ว่าคนอิจฉาหรือเปล่า”

พอได้ยินประโยคแบบนี้บ่อยๆ ทำให้เรารู้สึกว่าการเป็นดารามันไม่ดีหรือเปล่า ?

“ไม่ใช่เป็นดาราแล้วแย่ แต่เป็นปมเรื่องคำว่า ดารา มากกว่า สำหรับแม็คนะ แม็คยังโอเคกับการอยู่ในวงการเป็นนักแสดง แต่พอเขาเรียกเราว่า ดารา เราก็อะไรวะ เราแค่ทำงานของเรา ทำงานหาเงินให้ที่บ้าน เราก็แค่ทำหน้าที่ของเราไม่ได้ทำอะไรผิด แต่อยู่ดีๆ มาว่าเรา”

พอถูกเรียกว่า ดารา ทำให้รู้สึกจี๊ดใจ ?

“มันจี๊ดตรงที่เป็นประโยคที่เจอมาตั้งแต่เด็กๆ เราไม่ได้มีอคติกับคำว่า ดารา แต่เราแค่งงว่าทำไม่ต้องมาว่าเพราะเราเป็นดารา เป็นดาราแล้วจะทำอะไรก็ได้ เราไม่เข้าใจเขาว่าเขาใช้ความคิดอะไรในกรคิดว่า เป็นดาราแล้วถึงจะเบ่ง”

เรานำเหตุการณ์ต่างๆ ตอนนั้นมาปรับกับในวัยที่โตขึ้นแล้วตอนนี้อย่างไรบ้าง ?

“ตอนนี้เฉยๆ ครับ เพราะว่าเราก็เข้าใจตอนเด็กอาจจะซน เข้าใจมากขึ้นว่าเราไม่สามารถทำให้ทุกคนชอบเราได้ ใครที่ไม่ชอบก็ปล่อยไป เราเลยไม่ได้ซีเรียสกับคนที่มาพูดแบบนี้กับเรา เพราะเรารู้ตัวเองอยู่แล้วว่าเราไม่ได้ไปเบ่ง หรือไปทำอะไร รุ่นพี่บางคนก็ไม่ชอบแม็ค บอกแม็คขี้แอ็ค แม็คก็งงเราแอ็คอะไรแม็คเดินกับเพื่อนบางทียังอายคน บางครั้งเราขำดังเกินไมได้แอ็คอะไรเลย รุ่นพี่ก็มาหมั่นไส้

มันคือหตุการณ์ตอนนี้นี่แหละ ในโรงเรียนยังมีคนหมั่นไส้อยู่เลย ดาราคนอื่นในโรงเรียนก็โดน ไม่ใช่แค่แม็ค โดนหลายคน เราก็เลยคิดว่ามันไม่ใช่ทุกคนจะชอบเราได้ เราก็เลยใครไม่ชอบก็ปล่อยไป เราไม่ได้ไปทำอะไรให้เขา ไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ แต่เขามาหมั่นไส้แม็ค งงมั้ย ก็เลยต้องเฉยๆ ไปไม่ได้อยากมีปัญหา”

เคยมีแอบคิดสักครั้งมั้ย ไม่อยากเป็นแล้วดารา ?

“ไม่นะ เพราะรู้สึกว่าภูมิใจที่ตัวเองมาได้ขนาดนี้ บางครั้งก็คิดว่า ร้ายนิดนึงนะ สมมติเขาไม่ชอบเราอยู่ๆ มาด่าเรา เราก็คิดในมุมของเราว่าแบบ ก็เราทำมาถึงขนาดนี้ไง เขาอาจจะอิจฉาเราหรือเปล่า เขาถึงเป็นอย่างนี้ แต่เราภูมิใจกับสิ่งที่เราทำมา”