ทำความรู้จัก "แพรวา ณิชาภัทร" ถอดบทเรียนชีวิต ในวันที่ล้มก็ต้องลุกให้ได้
ชีวิตไม่ง่ายเลยจริงๆ สำหรับนักแสดงสาวมากความสามารถ แพรวา-ณิชาภัทร ฉัตรชัยพลรัตน์ ที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งคนกับการต้องเจอปัญหาต่างๆ เข้ามาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว จนบางเรื่องทำเอาถึงกับเสียหลักและเซอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
วันนี้ทีมข่าวบันเทิง Sanook.com มีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับ แพรวา ณิชาภัทร แบบแอ็กซ์คูลซีฟถึงเรื่องราวในชีวิตต่างๆ ตั้งแต่การก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นนักแสดงเลย มาจนถึงมรสุมครอบครัวครั้งใหญ่เมื่อต้องมาทราบว่า ที่บ้านติดหนี้ถึง 200 ล้านบาท ซึ่งเธอถึงกับเครียดหนักและเผยวิธีที่ทำให้ผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ ถึงแม้จะต้องเริ่มจากศูนย์อีกครั้งก็ตาม
จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการบันเทิง
"ความจริงแล้วหนูอยากจะเป็นนักร้อง ไปประกวดเดอะสตาร์มาปีนึง แล้วหนูก็ตกรอบ (ยิ้ม) อีกปีก็ไป แล้วหนูก็ตกรอบอีก แต่หนูก็ไม่ได้เสียเซลฟ์อะไรเลยนะ เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรที่เราได้มาง่ายๆ หรอก มันต้องลำบากก่อนถึงจะได้สิ่งที่คู่ควรกับเรา"
"ซึ่งต่อมาเหมือนทางทีมที่ทำเดอะสตาร์เขาก็ทำฮอร์โมนเดอะเน็กซ์เจน ก็เลยบอกให้หนูลองไป หนูว่าหนูโชคดีด้วยที่ได้เข้ารอบมาเรื่อยๆ"
"หนูไม่คิดว่าหนูจะมีอาชีพนักแสดง ไม่เคยคิดเลย แต่พอได้มาทำก็รู้สึกว่าชอบนะ เป็นโลกใบใหม่ที่เราได้เข้ามาเรียนรู้และสนุกมาก ได้อะไรจากการแสดงเยอะมาก"
พอเราเริ่มมีชื่อเสียง การใช้ชีวิตก็เปลี่ยนไป
"หนูจะไม่ชินมากกว่า เหมือนเราไปเดินห้าง ปกติก็แค่กินข้าวทำอะไรปกติเลย แต่พอมีชื่อเสียงคนก็เริ่มมอง เราก็เลยจะไม่ค่อยชิน ก็ต้องคิดแล้วว่าจะกินยังไงดี มีอะไรติดฟันหรือเปล่า ชีวิตมันเปลี่ยนนิดนึง แต่เราก็ไม่ได้จัดการอะไร เราก็อยู่กับมันไป สุดท้ายเราก็ชินกับมัน"
"ส่วนคนรอบตัว ถ้าเป็นเพื่อนๆ กับครอบครัว จะไม่คิดว่าหนูเปลี่ยนไปนะคะ แต่ถ้าเป็นคนที่เพิ่งรู้จักใหม่ เขาก็จะมีความเกรงใจเยอะ จนหนูต้องบอกว่าให้ทำกับหนูเหมือนคนปกติ อยากให้ทุกคนมองว่าอาชีพนักแสดงหรืออาชีพต่างๆ ที่เราทำ มันเป็นเพียงแค่ 1 อาชีพ เราไม่ได้เป็นคนพิเศษ หรือวิเศษอะไรกว่าคนอื่นมากมาย"
งานก็เยอะ แต่การเรียนก็ไม่ทิ้ง
"หนูจะมีการจัดตารางค่ะ ตอนนั้นหนูเพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย ก็จะมีการวางตารางเรียนให้เรียนวันนี้กับวันนี้ ซึ่งจะเป็นตารางเรียนที่แน่นมาก แน่นกว่าปกติ จะอัดไปเลย มีเวลาพักน้อยมาก ก็พยายามบล็อกไว้แบบนี้"
"และหนูเป็นเด็กทุนด้วย ก็ต้องรักษาเกรด โชคดีที่ได้ทั้งเพื่อนช่วย อาจารย์ช่วย"
"ไม่เคยอยากเบรกงานเลยค่ะ เพราะว่าถ้าให้พูดตามตรง หนูไม่ได้เป็นคนชอบเรียนเท่าไหร่ ไม่ค่อยถนัดงานวิชาการ แต่ถ้าถามว่าทำได้ไหม ก็ทำได้ จึงทำให้รู้สึกว่าไม่ได้อยากจะพักงานไปเรียน หนูรู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตมาจากการปฏิบัติ"
การแสดงก็รัก แต่การร้องเพลงก็ยังอยากทำอยู่
"ก็ยังชอบการร้องเพลงอยู่ คือการแสดงเราก็รักมัน แต่การแสดงเราต้องเป็นคนอื่น แต่พอเวลาเราร้องเพลงเราได้เป็นตัวเอง มันมีความสุขมากกว่า"
"หนูฝันอยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ เลยค่ะ มันค่อยๆ ซึมเข้ามา ชอบฟังเพลง ชอบร้องเพลง ขอพ่อซื้อเครื่องร้องคาราโอเกะไว้ที่บ้าน พอเริ่มเข้ามัธยมก็เริ่มมีวงดนตรี เริ่มประกวด ทางครอบครัวสนับสนุนและซัพพอร์ตเต็มที่เลยค่ะ"
มรสุมชีวิตครั้งใหญ่ เมื่อครอบครัวครอบครัวต้องประสบปัญหา บ้านติดหนี้ 200 ล้านบาท
"ตอนนี้คือไม่มีหนี้เลย หมายถึงหนี้ที่บ้านไม่เกี่ยวกับหนูแล้ว เพราะคุณพ่อคุณแม่ได้จัดการในการเทรด สมมติเรากู้ธนาคารมา เอาบ้านไปค้ำประกัน แล้วหากเราไม่มีเงินจ่าย ธนาคารก็มายึดบ้านเรา จบแค่นั้น ไม่ได้มาถึงหนูที่ต้องไปจ่ายทั้งหมด ไม่ใช่"
"ตอนนี้ที่หนูต้องทำคือสร้างใหม่ทั้งหมด เพื่อซื้อบ้าน ซื้อนู่นนี้ค่ะ ส่วนตอนนั้นที่ทราบเรื่องเราคิดว่า โชคดีนะที่เราทำงานในวงการ เราต้องปลดหนี้ได้แน่ๆ เลย แต่พอเรารู้จำนวน เราก็รู้สึกว่า ถึงฉันจะเป็น ณเดชน์ ฉันก็น่าจะทำได้ (หัวเราะ) เลยรู้สึกว่า โอ๊ะ! ทำอะไรไม่ได้ เกินความสามารถไปเยอะเลย"
"หนูต้องขอบคุณพ่อแม่มากเลยนะคะ ที่เขาทำให้หนี้ตรงนั้นไม่มากระทบหนูอะ ไม่งั้นหนูคงจะทำงานแล้วเครียดมากกว่านี้"
เริ่มต้นจากศูนย์ นับหนึ่งใหม่หมด แต่ไม่เคยท้อ
"ใช่ค่ะ หนูรู้สึกว่ามันเหนื่อยนะ แต่มันได้ข้อคิดในชีวิตเยอะ มันรู้สึกว่าเราเห็นคุณค่าเงินมากขึ้น และรู้สึกว่าเราโชคดีที่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เร็วในวันที่เรายังมีพละกำลังอยู่ รู้สึกว่าไม่ได้เป็นเรื่องลำบากเหมือนจะตายอะไรขนาดนั้นที่ต้องมาดูแลพ่อแม่"
"เพราะตั้งแต่หนูเกิดมา จนวันที่หนูรู้ว่าหนูต้องดูแลพ่อแม่อะ คือมันประมาณ 22 ปี หนูรู้สึกว่าตลอด 22 ปีที่ผ่านมา เขาเลี้ยงเรามาดีมาก เราไม่เคยลำบากเลย แล้วทำไมเราถึงจะเลี้ยงเขาไม่ได้"
"และตอนนี้เรายังมีภาระกำลังในการที่จะเลี้ยงเขา เพราะฉะนั้นเราก็ทำตอนนี้เลย พอตอนแก่เราจะได้ไม่ต้องลำบากมาก ไม่ต้องมารู้สึกว่าไม่มีแรงเลย แต่ต้องมาทำงานเลี้ยงเขา เราก็รีบทำตอนนี้และใช้พลังในตอนนี้สะสมจำนวนเงินให้เยอะ เพื่อที่เราจะได้สบายในบั้นปลาย"
เรื่องนี้ทำให้เป้าหมายตอนนี้ชัดเจนขึ้นมาก
"ใช่ค่ะ ไม่ได้ทำงานแล้วได้เงินมาแล้วก็ใช้ไปวันๆ ต้องวางแผนอนาคตมากขึ้น ความรู้สึกหนูเหมือนโดนบังคับให้เป็นผู้ใหญ่เร็วขึ้น ซึ่งมันก็มีกระทบกับสภาพจิตใจ คือหนูเป็นคนสู้กับชีวิตมากๆ แต่พอมันเจอเรื่องนี้ สำหรับหนูคิดว่ามันคือวิกฤตในชีวิตครั้งหนึ่งที่หนูต้องขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแบบเร็วสุดๆ เลย มันก็มีกระทบจิตใจเยอะ แต่ถามว่าสิ่งที่มันได้กลับมา มันเยอะกว่า เหมือนเราโตแบบก้าวกระโดดมากๆ"
"ถ้าถามว่าจัดการกับความรู้สึกนั้นยังไง ก็ไปหาหมอเลยค่ะ หมอจิตแพทย์ ด้วยตัวหนูเป็นคนพยายามปรับสภาพกับทุกอย่างที่เป็นอยู่ แต่พอเคมีในสมองมันไม่ได้ปรับตามเรา เราก็ต้องหาหมอ มันเกินหน้าที่เราแล้ว"
"หนูก็พยายามหาทางออก พยายามปรับตัว คิดหลายอย่างว่าจะทำอะไรต่อดีในการที่จะได้เงินมาค้ำจุนพ่อแม่"
"พ่อแม่ก็บอก ไม่เป็นไร หาได้เท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น แต่ความรู้สึกหนู หนูรู้สึกว่าไม่ได้ หนูอยากให้เขาสบายอะ คือต้องทำให้เขาสบาย ซึ่งตอนนี้หนูโอเค แฮปปี้แล้ว หนูสร้างบ้านให้เขาที่ต่างจังหวัดแล้วเรียบร้อย"
ในวันที่ตัดสินใจต้องทิ้งบ้านที่เคยอยู่พร้อมหน้ากันมาตั้งแต่เกิด
"หนูรู้สึกว่า ถึงตอนนั้นเราไม่พร้อม เราก็ต้องปล่อยไป เพราะเราไม่สามารถยื้อไว้ได้ ถ้าในอนาคตหนูสามารถทำเงินได้เยอะ หนูอาจจะกลับไปซื้อคืนมา แต่หนูก็ไม่รู้ว่าถ้าซื้อได้แล้วจะทำยังไงต่อ แค่รู้สึกว่าเป็นความทรงจำ แต่ถ้าซื้อกลับมาในอนาคต อาจจะยังไม่ใช่ใน 5 ปีนี้ อาจจะ 10 ปี หนูก็ต้องเอาเงินไปรีโนเวทอีก มันก็จะไม่เหลืออะไรแล้วนะ หรือเราจะซื้อบ้านจัดสรรไปเลยง่ายกว่า (หัวเราะ) มันเสร็จแล้วอะ ก็ต้องให้เป็นเรื่องอนาคต"
ไม่มีเป้าหมายที่วางแผนให้ครอบครัวในอนาคต แค่พ่อแม่แฮปปี้ก็ดีใจแล้ว
"สำหรับหนู ไม่มีนะ ไม่มีเป้าหมาย ตอนนี้เขามีบ้านที่ต่างจังหวัดแล้ว เขาแฮปปี้ของเขา พ่อก็ทำสวน แม่ก็อยู่กับหมา 2 ตัว ถ้าจะทำให้แฮปปี้อีกก็คงจะซื้อรถตู้และหาคนขับให้เขา เพราะเขาชอบไปวัด"
"อยากให้เขาสบายที่สุด เพราะหนูรู้สึกว่าตอนเด็กเขาเลี้ยงเรามาสบายมาก เพราะเราเอาแต่ใจมาก เราไม่ได้รู้สึกว่าตอนเด็กเราลำบาก มีชีวิตที่แสนรันทด เพราะฉะนั้นทำไมเราต้องทำให้เขารู้สึก พ่อแม่ยิ่งแก่ก็ยิ่งมีความเป็นเด็ก เราต้องคิดว่าเหมือนดูแลลูก ก็อยากให้สบายที่สุด ไม่อยากให้ลำบาก"
ผลงานในตอนนี้
"ตอนนี้ก็มีผลงานหนังที่กำลังจะฉายแล้วค่ะ วันที่ 19 ต.ค. นี้ เรื่อง อยากตาย อย่าตาย มรณาคาเฟ่ (Death Is All Around) เป็นหนังเข้าโรงเรื่องแรกของหนูเลยที่ตื่นเต้นมากๆ เพราะด้วยตัวบทที่ค่อนข้างใหม่สำหรับหนู มันใหม่มาก มีการเล่าเรื่องของคนที่เป็นซึมเศร้าด้วยคือตัวนางเอก (ฝน ศนันธฉัตร) ส่วนหนูเล่นเป็น Helper นิว ไม่เคยเล่นแบบนี้เลย มันน่าตื่นเต้นมาก รู้สึกว่าใหม่มากๆ ที่จะเล่าเรื่องอะไรแบบนี้"
"แต่ไม่ได้กดดันนะคะ เพราะเราเจอนักแสดงที่เข้าขากันได้ดีทุกคน เหมือนเรามาเล่นกับเพื่อนที่กองด้วย มันจะตื่นเต้นกับคาแร็กเตอร์ใหม่มากกว่า"
"หนูว่าคนที่เป็นซึมเศร้าได้ชมเรื่องนี้น่าจะได้ข้อคิดอะไรค่อนข้างเยอะ เพราะหนูเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว หนูอ่านแล้วบทแล้วรู้สึกว่าใช่เลย คำพูดหรือความคิดที่นางเอกเป็น ค่อนข้างตรงกับอาการซึมเศร้าที่หนูเคยเป็น เพราะช่วงหนึ่งหนูก็เคยคิดแบบนี้ ถ้าดูหนูหวังว่าทุกคนจะได้อะไรจากตรงนี้กลับไป"