ประวัติ "ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์" เสี่ยอ่างผู้กว้างขวาง นักการเมืองสุดจ๊าบ และจอมแฉแห่งเมืองไทย
เชื่อว่าไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” ที่ช่วงหลังๆ เขามักจะออกมา “แฉ” วงการธุรกิจสีเทาและนักการเมืองอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเปิดโปงส่วยตำรวจ ทุนจีนสีเทา เว็บพนันออนไลน์ รวมถึงปมทุจริตโครงการของรัฐ พร้อมประกาศขอใช้ชีวิตช่วงสุดท้าย “แฉเพื่อชาติ” จนกลายเป็นประเด็นร้อนที่ชาวเน็ตต้องอดหลับอดนอนติดตามกันอย่างใกล้ชิด
จาก “เสี่ยอ่าง” ที่มีภาพลักษณ์ดุดัน ไม่เกรงกลัวใคร สู่ “จอมแฉแห่งเมืองไทย” ที่ใครๆ ก็รัก Sanook เปิดประวัติ “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” พร้อมเส้นทางชีวิตที่น่าสนใจของผู้ชายคนนี้
“ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” คือใคร
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ คือเจ้าพ่ออ่างอบนวดพันล้าน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ ผู้ผันตัวมาเป็น “นักแฉ” เปิดโปงขบวนการส่วยตำรวจและจีนเทา ชูวิทย์เกิดที่สกลนคร แต่มาเติบโตที่ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร เป็นลูกชายคนสุดท้องในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 8 คน บิดามารดาของเขาเป็นคนจีน ที่ทำธุรกิจนำเข้าและผลิตเสื้อผ้ายีนส์
ชูวิทย์เรียนจบชั้นประถมจากโรงเรียนสหพาณิชย์ ชั้นมัธยมต้นจากโรงเรียนอัสสัมชัญศรีราชา และมัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ ก่อนจะสอบเข้าเรียนในระดับปริญญาตรี ที่คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทั้งนี้ เขาเคยเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยซานดิเอโก แต่ไม่ได้สำเร็จการศึกษา แต่สามารถคว้าปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เจ้าพ่ออ่างอบนวดคนดัง
หลังกลับมาจากสหรัฐฯ ชูวิทย์เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ทั้งการสร้างหมู่บ้านจัดสรร และเปิดอาบอบนวดชื่อ “วิคทอเรีย ซีเคร็ท” ก่อนจะขยายกิจการอาบอบนวดถึง 6 แห่งในเครือเดวิสกรุ๊ป พร้อมก่อตั้งมูลนิธิต้นตระกูลกมลวิศิษฎ์ ให้การสนับสนุนก่อสร้างป้อมที่พักเจ้าหน้าที่ตำรวจตามแยกไฟแดง
นอกจากนี้ เขายังเป็นเจ้าของโรงแรม The Davis Bangkok Hotel ที่อยู่บนถนนสุขุมวิท 24 เช่นเดียวกับครอบครองที่ดินขนาด 7 ไร่ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ “สวนชูวิทย์” แต่ปัจจุบันได้รื้อถอนไปแล้ว เพื่อปรับปรุงพื้นที่สำหรับก่อสร้างโครงการของบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์
จอมแฉแห่งเมืองไทย
ชูวิทย์เกิดความขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงออกมาเปิดเผยเรื่อง “ส่วย” จนกลายเป็นประเด็นร้อนของสังคม และทำให้เขาได้รับฉายา “เสี่ยงอ่าง” หรือ “จอมแฉ” แต่การออกมาแฉในครั้งนั้น ก็ส่งผลกระทบกับธุรกิจอาบอบนวดของชูวิทย์เช่นกัน เมื่อเขาถูกคดีค้าประเวณีเด็กหญิงอายุต่ำกว่า 18 ปี แต่ศาลยกฟ้องเนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ
ครั้งหนึ่งช่วงกลางปี พ.ศ.2546 ชูวิทย์กลายเป็นข่าวดังอีกครั้ง หลังจากเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ ขณะมีคดีรื้อบาร์เบียร์ที่ถนนสุขุมวิท ซึ่งเป็นคดีที่มีคู่ความเป็นตำรวจนครบาล อย่างไรก็ตาม เขาก็ปรากฏตัวอีกครั้ง พร้อมออกมาแฉว่าถูกตำรวจกลุ่มหนึ่งอุ้มตัวไป หลังจากนั้น ชูวิทย์ก็ปรากฏตัวในหน้าสื่อเป็นระยะ โดยเขาเริ่มทำการแฉพฤติกรรมการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น การรีดไถ รับส่วย เป็นต้น จึงทำให้ชูวิทย์กลายเป็นที่สนใจของสังคม
ชื่อของชูวิทย์โด่งดังสุดขีด เมื่อเขาเปิดโปงขบวนการทุนจันสีเทา โดยเฉพาะเรื่องของ “ตู้ห่าว” เจ้าพ่อจีนเทา และ “จินหนิง” ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนักการเมือง ตำรวจ และผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย นำไปสู่การเปิดปฏิบัติการกวาดล้างธุรกิจผิดกฎหมายของชาวจีน ไม่เพียงเท่านั้น ชูวิทย์ยังเป็นคนเปิดโปงเครือข่าย “สารวัตรซัว” และออกมาคัดค้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคถูมิใจไทย ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ปี พ.ศ.2566 จนเกิดการฟ้องร้องกัน
อดีตนักการเมืองสุดจ๊าบ
ชูวิทย์เคยก้าวเข้าสู่วงการการเมือง โดยลงสมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ในปี พ.ศ.2547 แม้ไม่ได้รับเลือกตั้ง แต่เขาก็ได้รับคะแนนเสียงเป็นลำดับที่ 3 จากนั้น ชูวิทย์ได้ลงสมัครเลือกตั้งทั่วไป ปี พ.ศ.2548 เป็น สส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติไทย แต่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉันว่าเป็นสมาชิกพรรคไม่ครบ 90 วัน จึงต้องพ้นจากความเป็น สส.
ในปี พ.ศ.2551 ชูวิทย์กลับมาลงสมัครผู้ว่ากรุงเทพฯ อีกครั้ง โดยชูนโยบายมองเห็นปัญหาและเน้นตรวจสอบการทำงานของอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่ากรุงเทพฯ แต่ก็ไม่ได้รับเลือกตั้ง จากนั้นเขาก็ตั้งพรรคสู้เพื่ไทย และเปลี่ยนมาตั้งพรรครักประเทศไทย ในปี พ.ศ.2553 ซึ่งผลการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2554 พรรครักประเทศไทยของชูวิทย์ได้คะแนนเสียงเกือบ 1 ล้านคะแนน ทำให้ได้ สส. เข้าสภาถึง 4 คน