เนื้อหาในหมวด ข่าว

สรุปดราม่า \

สรุปดราม่า "เชฟอ้อย" ประเด็นแฟรนไชส์ลูกชิ้น โต้กันเดือด ไม่มีใครยอมใคร

ประเด็นเดือดปุดๆ เหมือนน้ำซุปในหม้อก๋วยเตี๋ยวตอนนี้ คงหนีไม่พ้นดราม่า “ลูกชิ้นเชฟอ้อย” ที่ประชาชนกำลังให้ความสนใจเป็นอย่างมาก หลังมีผู้ซื้อแฟรนไชส์ลูกชิ้น ของเชฟอ้อย - ยุวดี ชัยศิริพาณิชย์ เชฟชื่อดังจากรายการดังในโทรทัศน์ ออกมาแฉปัญหาหลายอย่างจากการซื้อแฟรนไชส์ จนกลายเป็นกระแสในโซเชียล เกิดการโต้เถียงกันไปมา ก่อนจะกลายเป็นที่ถูกพูดถึงอย่างหนักหลังทั้งสองฝ่ายไปออกรายการ “โหนกระแส

แล้วดราม่าเดือดที่กำลังเป็นกระแสให้คนติดตามนี้ มีที่มาที่ไปอย่างไร และใครพูดอะไรบ้าง Sanook สรุปดราม่า “ลูกชิ้นเชฟอ้อย” ที่โต้เถียงกันดุเดือด แบบไม่มีใครยอมใคร

แฉเจ้าของแฟรนไชส์เอาเปรียบ

วันที่ 9 ธันวาคม 2566 มีผู้ใช้เฟสบุ๊กรายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ข้อความ “แฉ” เจ้าของแฟรนไชส์ลูกชิ้นดัง ว่าเอาเปรียบผู้ซื้อ ไม่ยุติธรรมกับคนซื้อแฟรนไชส์เลย โดยมีปัญหาทั้งการซื้อแฟรนไชส์แบบไม่มีสูตรทำลูกชิ้นมาให้ เรื่องการส่งเครื่องทำลูกชิ้นล่าช้ากว่าข้อตกลงในสัญญา จนทำให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจ เนื่องจากต้องแบกต้นทุกที่สูงขึ้น และยังมีปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย

ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ซื้อแฟรนไชส์เพียงรายเดียว แต่มีผู้เสียหายเกิน 40 คน อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครกล้าออกมาพูด เนื่องจากแต่ละคนก็มีความหวังว่าขายไปแล้วจะได้เงินคืน และกลัวเจ้าของแฟรนไชส์มายึดคืน ซึ่งหลังโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก

“เชฟอ้อย” ออกมาตอบโต้

ต่อมา “เชฟอ้อย” - ยุวดี ชัยศิริพาณิชย์ เชฟหญิงแกร่งจากรายการแข่งทำอาหารชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊ก CHARM GARDEN ระบุเตรียมฟ้องเอาผิดเพจหนึ่งที่ลงข้อความและรูปภาพในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โดยจะไม่รับคำขอโทษ คำขอขมา หรือยอมความใดๆ เพื่อให้เป็นกรณีตัวอย่างต่อไป

นอกจากนี้ เชฟอ้อยยังได้ออกมาไลฟ์ผ่าน TikTok ถึงประเด็นดราม่าดังกล่าว ระบุว่าตนตั้งใจจะเปิดขายแฟรนไชส์จังหวัดละ 1 ร้าน แต่ไปสืบทราบมาว่าบางคนที่ซื้อแฟรนไชส์ไปก็ทำทีเป็นเปลี่ยนชื่อร้านและแอบไปขายข้ามจังหวัด พร้อมบอกว่าคนเหล่านี้โลภมาก และมีคำพูดดุเดือดมากมายของเชฟอ้อยในไลฟ์ดังกล่าว ก่อนที่เชฟอ้อยจะฝากไปถึงคนกลุ่มนี้ว่า “ไม่เจริญหรอก” ก่อนย้ำเรื่องความซื่อสัตย์ต่อลูกค้าและการตั้งราคาสินค้า

เจอกันที่ “โหนกระแส”

เมื่อกลายเป็นประเด็นดราม่าร้อนที่มีการโต้ตอบกันไปมาในโซเชียลมีเดีย ขณะที่ชาวเน็ตก็เข้ามาแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นร้อนดังกล่าวอย่างล้มหลาม จนทำให้วันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา “หนุ่ม - กรรชัย กำเนิดพลอย” ได้เชิญคู่กรณีทั้งสองฝ่ายมานั่งพูดคุยกัน ทั้งฝ่ายผู้เสียหาย ประกอบด้วย เล้ง, แมน, ฟลุ๊ค, เดียร์, และแอน และฝ่ายเชฟอ้อย ซึ่งมาพร้อมกันเชฟปู โดยมีไพศาล เรืองฤทธิ์ ทำหน้าที่เป็นทนายความคนกลาง

บางช่วงบางตอนของรายการกลายเป็นกระแสในโลกโซเชียลทันที โดยเฉพาะการโต้เถียงสุดเดือดระหว่างเชฟอ้อย และ “แมน” หนึ่งในผู้เสียหาย ที่เรื่องราวในมุมของตัวเองว่าได้รับอุปกรณ์ทำลูกชิ้นล่าช้าจนเสียโอกาส และแบกรับต้นทุนไม่ไหว จึงหันมาขายก๋วยเตี๋ยว แต่กลับโดนเชฟอ้อยด่า ซึ่งเขารับไม่ได้ ลั่นไม่เคยมีใครด่าตนแล้วหายไป วันนี้จึงขอด่ากลับบ้าง 

เชฟอ้อย-แมน ในโหนกระแส

ด้านเชฟอ้อยก็โต้กลับว่าการขายก่วยเตี๋ยวของแมนทำให้คนเข้าใจผิด เนื่องจากลูกค้าจดจำว่าแมนขายลูกชิ้นของเชฟอ้อย และจัดร้านก๋วยเตี๋ยวเหมือนเชฟอ้อย ทั้งนี้ เชฟอ้อยยอมรับว่าได้ด่าและพูดจารุนแรงกับคู่กรณีจริง เนื่องจากไม่พอใจในหลายเรื่อง ทั้งเอารูปตัวเองไปวางกับลูกชิ้น 5 บาท และยังมีคนเอาสูตรของตัวเองไปดัดแปลง ซึ่งผิดสัญญา อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของรายการ เชฟอ้อยได้ยอมรับว่าตนไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจและธุรกิจลูกชิ้นก็เติบโตรวดเร็วชั่วข้ามคืน 

สุดท้าย เชฟอ้อยระบุว่าไม่สามารถคืนแฟรนไชส์ได้ แต่สามารถขายต่อให้คนอื่นมาซื้อสิทธิ์ต่อได้ พร้อมขอโทษคู่กรณีเรื่องที่ตนพูดไม่ดี ซึ่งทางแมนก็ยอมรับคำขอโทษ และได้ขอโทษเชฟอ้อยเช่นกันที่ตนพูดจาก้าวร้าว

ทนายชี้ผู้เสียหายฟ้องแพ่งได้

ทนายไพศาล ซึ่งมาช่วยเป็นทนายความคนกลางในรายการโหนกระแส ได้ชี้แจงเรื่องข้อกฎหมาย ระบุว่าทั้งหมดเข้าข่ายฟ้องร้องทางแพ่งได้ เนื่องจากเชฟอ้อยไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาและทำผิดเงื่อนไข ทั้งจัดส่งอุปกรณ์ล่าช้า ทำให้ผู้เสียหายเสียโอกาสทางธุรกิจ 

ส่วนในกรณีที่เชฟอ้อยบอกว่าผู้เสียหายดเอาสูตรของตนไปดัดแปลงนั้น ในทางกฎหมายมองว่าสูตรอาหารเป็นการคุ้มครองการค้า เป็นความลับทางการค้าเท่านั้น แต่ไม่มีลิขสิทธิ์คุ้มครอง จึงสามารถคิดค้นได้ใหม่ ดัดแปลงได้ เว้นแต่ว่ามีคนใช้ชื่อและโลโก้ของเชฟอ้อยในการขาย จึงจะเป็นการทำผิด