เนื้อหาในหมวด หนัง-ละคร

Terminator: Dark Fate หญิงแกร่งจากโลกอนาคต

Terminator: Dark Fate หญิงแกร่งจากโลกอนาคต

มีการเปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์

 

 

หลังจากความสำเร็จของ Terminator 2: Judgment Day ในปี 1991 ทั้งแง่ของคุณภาพบทภาพยนตร์ งานเทคนิคพิเศษ จัดได้ว่าหนังเปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์ จนเราอาจจะกล่าวได้ว่า ถึงจะนำกลับมาดูในยุคปัจจุบัน ก็ยังเป็นหนังที่มีความร่วมสมัย อยู่ข้ามกาลเวลา และถือเป็นหนังในความทรงจำของคอหนังแอ็คชั่นไซไฟอย่างแท้จริง

 

อย่างไรก็ตามความพยายามในการต่อยอดและสานต่อเรื่องราวจากหนัง Terminator 2: Judgment Day ไม่ว่าจะเป็น Terminator 3: Rise of the Machines (2003), Terminator Salvation (2009) และการแตกไทม์ไลน์ใหม่อย่าง Terminator Genisys (2015) ล้วนแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จในเชิงคำวิจารณ์เทียบเท่ากับภาค 2 ได้เลย มิหนำซ้ำการแตกหน่อเรื่องราวในแต่ละภาคก็ทำให้เส้นเรื่องกระจัดกระจาย เส้นเวลาและประวัติศาสตร์ในจักรวาลนี้มีสภาพได้ยุ่งเหยิงและชวนสับสนไปหมด

 

ดังนั้นวิธีการเดียวที่สตูดิโออย่างทเวนตี้ เซนจูรี่ ฟอกซ์และพาราเมาต์จะทำได้ คือรื้อเส้นเรื่องใหม่ทั้งหมดแล้วเดินทางกลับไปยังภาคที่คอหนังยังตกค้างเรื่องราวในความทรงจำได้อย่างชัดเจนและแม่นยำที่สุดนั่นก็คือเส้นไทม์ไลน์ในหนัง Terminator 2: Judgment Day ซึ่งเป็นผลงานการกำกับและเขียนบทของเจมส์ คาเมรอน (เจมส์เขียนบทร่วมกับวิลเลียม วิชเชอร์)

 

 

เหตุการณ์ในหนังภาค Terminator 2: Judgment Day ขมวดปมที่หุ่น T-1000 ซึ่งตามไล่ล่าจอห์นและซาร่า คอนเนอร์ไปถึงโรงงานแห่งหนึ่ง แต่มันก็ถูกหุ่น T-800 (อาร์โนลด์ ชวาสเนคเกอร์) ยับยั้งเอาไว้ได้ T-1000 ตกลงไปในเตาหลอมเหล็ก ในขณะที่หุ่น T-800 มองว่าตัวเองเป็นภัยแก่มวลมนุษย์ ทำให้ตัดสินใจทำลายตัวเองทิ้ง เพื่อไม่ให้เหลือชิ้นส่วนของหุ่นเทอร์มิเนเตอร์จากอนาคตเหลือตกค้างเอาไว้ในยุคปัจจุบัน

 

 Terminator: Dark Fate จึงได้สานต่อเส้นเรื่องดังกล่าวทันที หลังจากที่ซาร่า (ลินดา ฮามิลตัน) คาดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว เขากับลูกชายอย่างจอห์น คอนเนอร์ได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่ปรากฏว่าในปี 1998 หุ่น T-800 ที่ถูกส่งมาจากอนาคต (อีกครั้ง) ได้ทำการสังหารจอห์น คอนเนอร์ได้สำเร็จ ซาร่าจึงกลายเป็นคุณแม่หัวใจสลายตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

 

 

กลับมาในช่วงเวลาปัจจุบัน เกรซ (แมคเคนซี่ เดวิส) มนุษย์ดัดแปลงจากโลกอนาคต ถูกส่งตัวมายังโลกปัจจุบัน กับภาคกิจสำคัญในการปกป้องแดนิ รามอส (นาตาเลีย เรเยส) สาวชาวเม็กซิกัน จากการตามไล่ล่าของหุ่นเทอร์มิเนเตอร์รุ่นเรฟนายน์ (แกเบรียล ลูนา)

 

ถ้าหากเรามองย้อนกลับไปตั้งแต่ The Terminator ภาคแรก ตัวละครของซาร่า คอนเนอร์คือตัวละคร “นำหญิง” ที่มีพัฒนาการทางความคิด จิตใจ และลักษณะภายนอกอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้รับความช่วยเหลือจากไคล์ รีซ (ไมเคิล บีน) ในการเอาชีวิตรอดจากหุ่น T-800 ได้สำเร็จ และคนรักของเธอยังสละชีวิตเพื่อรักษาอนาคตของมวลมนุษยชาติเอาไว้ ซาร่าจึงแบกความหวังอันหนักอึ้งมาจนถึงเหตุการณ์ในหนังภาค Terminator 2: Judgment Day ในการให้กำเนิด จอห์น คอนเนอร์ผู้นำของมวลมนุษย์เพื่อต่อกรกับจักรกลอย่าง “สกายเน็ท” ในอนาคต แต่เมื่อเรื่องราวเดินทางมาถึง Terminator: Dark Fate เธอกลับกลายเป็นผู้สูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ความสูญเสียดังกล่าวได้ผันให้เธอกลายเป็นหญิงแกร่งที่พร้อมรับมือกับอันตรายโดยไม่หวั่นเกรงความตาย เพราะลึกๆแล้วเธอรู้ดีว่า ชีวิตนี้คงไม่มีอะไรจะต้องเสียอีกแล้ว

 

 

ตัวละครแดนิ รามอส จึงเป็นเหมือนการฉายภาพซ้ำของตัวละครซาร่า คอนเนอร์ให้กับผู้ชมรุ่นใหม่ ได้สัมผัสห้วงอารมณ์แบบเดียวกันกับหนังภาคแรกและภาค 2 ในเวลาเดียวกัน เพียงแต่พัฒนาการของตัวละครแดนิ อาจจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ ในสายตาของผู้ชมว่าในอนาคตอันใกล้ เธอคือความหวังของมวลมนุษยชาติในการต่อกรกับอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป (สกายเน็ทไม่ถือกำเนิดขึ้น) แต่เหล่าจักรกลถูกเรียกว่า “ลีเจียน” อนาคตอันมืดมน ซ้ำซาก ดังกล่าวทำให้ซาร่าถึงกับต้องสบถออกมาว่า “ทำไมมนุษย์นั้นถึงไม่เคยได้บทเรียน และไม่เคยจำเอาซะเลย”

 

 

เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าอนาคตจะถูกเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม ไคล์ รีซอาจจะเคยหยุดยั้ง T-800 ไปแล้ว T-1000 อาจจะถูกหลอมละลายไปแล้ว T-800 ที่กลับมาฆ่าจอห์น คอนเนอร์ได้สำเร็จ แต่ท้ายที่สุดแล้วอนาคตที่กำลังเฝ้ารอมนุษย์ในแฟรนชายส์ Terminator นั้นก็ไม่เคยเป็นอนาคตที่โลกมนุษย์จะสามารถได้ใช้ชีวิตอยู่กันอย่างสันติเสียที ตัวละครในหนังชุดนี้เหมือนเป็นบรรดาตัวละครที่ทำเวรทำกรรมมาอย่างหนักหนาสาหัส โดยเฉพาะซาร่า คอนเนอร์ ที่ดูเหมือนชีวิตของเธอจะต้องเผชิญกับความสูญเสียไม่รู้จบ มิหนำซ้ำเธอยังต้องคอยตั้งหน้าตั้งตารับมือกับเหตุการณ์ใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา

 

 

การที่หนังให้เหตุผลที่ว่าแดนิ รามอสจากโลกอนาคตได้ส่งเกรซกลับมาเพื่อปกป้องตัวเธอ เพื่อรักษาอนาคตเอาไว้นั้น เพราะพวกเขาเชื่อว่าวิธีการดังกล่าวจะสามารถต่อลมหายใจให้กับมนุษย์ได้มีเวลารับมือกับจักรกล หนังภาคนี้จึงเปรียบเสมือนการที่แดนิ หญิงธรรมดาคนหนึ่งได้เรียนรู้ความสูญเสียในชีวิต (พี่ชายและพ่อถูกหุ่นฆ่าตายในเวลาอันสั้น) เธอต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปกับหญิงสาวจากโลกอนาคตและป้าแก่ๆที่หอบอาวุธเป็นกำๆ ต้องต่อสู้เอาตัวรอดจากหุ่นสังหาร หนีข้ามพรหมแดนเม็กซิโกไปยังรัฐเท็กซัส เพื่อค้นหาคำตอบว่าทำไมเธอถึงต้องแบกรับความหวังของมวลมนุษย์ (กลายเป็นจอห์น คอนเนอร์คนใหม่)

 

 

เมื่อเราร้อยเรียงโครงสร้างของบทภาพยนตร์ภาคนี้เข้าด้วยกันแล้ว เราก็จะพบว่าแท้ที่จริง Terminator: Dark Fate ก็คือการหยิบเอาเหล้าเก่ามาใส่ในขวดใหม่ พยายามต่อลมหายใจให้กับแฟรนชายส์ชุดนี้มีประเด็นความร่วมสมัยในเชิง “เฟมินิสต์” ว่าผู้หญิงด้วยกันเองนี่แหละ คือหนทางรอดของมวลมนุษย์ ไม่มีใครเข้าใจพวกเราดีไปกว่ากันและกัน  ตัวละครเกรซ ซาร่าและแดนิส จึงจับมือกันฝ่าฟันทุกอย่างและพาคนดูมุ่งหน้าสู่ไทม์ไลน์ใหม่ของ Terminator ที่ไม่ว่าท้ายที่สุด ถ้าหนังยังจะสร้างภาคต่อออกมาอีก ก็ไม่แน่ใจว่าสุดท้ายแล้วจักรวาลนี้จะมีวันที่จบลงในเชิง จักรกลครองโลกและมนุษย์สูญพันธุ์ได้ไหม แต่ก็คงเป็นไปได้ยากเพราะถ้าจบแบบนั้นสตูดิโอก็คงหมดหนทางในการสร้างภาคต่อแล้วก็ต้องกลับมารีบูตจักรวาลกันใหม่อีกอยู่ดี!

5 หนังคว่ำแรง แป้กแบบไม่คาดคิด ประจำปี 2019

5 หนังคว่ำแรง แป้กแบบไม่คาดคิด ประจำปี 2019

เป็นประจำกับทุกสิ้นปี คือช่วงเวลาที่เราต้องกลับมามองย้อนไปในรอบปีที่ผ่านมา ว่ามีหนังจากฝั่งตะวันตกเรื่องใดบ้างที่ประสบความสำเร็จ ในขณะเดียวกันหนังฟอร์มยักษ์บางเรื่องก็ล้มเหลวแบบไม่มีใครคาดคิดเช่นกัน ที่แน่ๆ สตูดิโอเจ้าของผู้ออกทุนสร้างต้องกุมขมับกันอย่างแน่นอน เพราะมันหมายถึง “เม็ดเงินลงทุนที่สูญสลายหายไป” หรือพูดง่ายๆว่าขาดทุนนั่นเอง