.jpg)
TDRI ยกเคส Grab ช่วยดัน GDP สร้างมูลค่าเศรษฐกิจแสนล้าน
นายนณริฎ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโสจากทีดีอาร์ไอ กล่าวว่า ทีดีอาร์ไอได้ศึกษาบทบาทและผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจของแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยยกกรณีศึกษาของแอปพลิเคชัน Grab ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่มีกิจกรรมที่หลากหลาย เช่น การเดินทาง สั่งอาหาร และขนส่ง โดยมีบทบาทในการสร้างประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้กับเศรษฐกิจไทย รวมถึงการสร้างรายได้และโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการรายย่อยและแรงงานอิสระ
“ในปี 2566 กิจกรรมทางธุรกิจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวงจรธุรกิจของ Grab ได้สร้างผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจ (Economic Impact) ซึ่งมีมูลค่า 1.79 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 1 เปอร์เซ็นต์ของ GDP ไทย ช่วยสร้างงานกว่า 280,000 ตำแหน่ง และรายได้ครัวเรือนราว 2.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในระดับมหภาค นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยานยนต์ พลังงาน การสื่อสาร การเงิน อาหาร และค้าปลีก โดยสร้างความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ในวงกว้าง” ดร.นณริฎ ระบุ
ด้าน รศ.ดร.ดนุวัศ สาคริก จากสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า การพัฒนาทางเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ตลอดจนการเกิดขึ้นของแพลตฟอร์มดิจิทัล ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทิศทางและรูปแบบการทำงานในอนาคตเปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอิสระหรือ Gig Worker ที่มีแนวโน้มเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะคน Gen Y ในช่วงปลาย และ Gen Z เนื่องจากตอบโจทย์ในเรื่องความยืดหยุ่น ความเป็นอิสระ รวมทั้งสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ทำให้คนอยากแสวงหารายได้เพิ่มเติม ซึ่งรูปแบบการทำงานที่เปลี่ยนไปนี้ส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจมหภาค จึงถือเป็นโจทย์สำคัญที่ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อมและกำหนดนโยบายให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
“ทิศทางการทำงานในโลกอนาคตเปลี่ยนไปมาก ถ้าไม่เตรียมความพร้อมให้เหมือนกันนานาประเทศที่เตรียมตัวไปค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะภาคการศึกษา ภาครัฐ รวมทั้งภาคเอกชน ก็คงจะไม่ทันต่อเทรนด์ของโลก ซึ่งมีทั้งในเรื่องของการอัพสกิล รวมทั้งนโยบายแรงงานที่ต้องออกมาตอบโจทย์บริบทที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งนี้ จากการสำรวจตำแหน่งงานใหม่เกิดขึ้นพบว่า มี 170 ล้านตำแหน่งทั่วโลก แต่จะมีตำแหน่งงานที่หายไป 92 ล้านตำแหน่ง ซึ่งพบว่ามีจำนวนตำแหน่งงานที่เพิ่มขึ้นมากกว่าลดลง ดังนั้นต้องตั้งโจทย์ถามภาครัฐว่า ภาครัฐได้เตรียมความพร้อมไว้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะตำแหน่งงานใหม่ที่เกิดขึ้นค่อนข้างมากนี้เชื่อว่าเป็นตำแหน่งงานที่อยู่บนแพลตฟอร์มจำนวนมาก”
รศ.ดร.ดนุวัศ กล่าวเสริมว่า นิด้าได้ศึกษาบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลโดยเน้นไปที่ระบบเศรษฐกิจแบบกิ๊ก (Gig Economy) โดยพิจารณา 4 องค์ประกอบหลัก (หรือ 4P) อันได้แก่ แพลตฟอร์ม (Platform) ผู้ใช้บริการ (People) พันธมิตร (Partner) และหน่วยงานภาครัฐ (Public Sector) และได้พัฒนาออกมาเป็นต้นแบบของนโยบาย โดยมีให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อภาครัฐ ให้มุ่งส่งเสริมการแข่งขัน หรือการตลาดแบบเสรีควบคู่กับการสนับสนุนให้กลุ่มแรงงานอิสระสามารถเข้าถึงหลักประกันพื้นฐานทางสังคมของภาครัฐอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมเพื่อสร้างสมดุล และความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะกลางถึงยาวอย่างยั่งยืน
ขณะที่ นายศุภโชค จันทรประทิน จากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ให้ความเห็นในมุมของเรกกูเลเตอร์ที่ดูแลธุรกิจแพลตฟอร์มว่า “การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ดีต้องรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการ และการส่งเสริมนวัตกรรมควบคู่กันไป หน่วยงานภาครัฐจึงต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่โปร่งใส เป็นธรรม และเอื้อต่อการเติบโตของธุรกิจแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่หรือสตาร์ทอัพไทยที่ต้องการขยายตลาดไปสู่ระดับสากล ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญของเราไม่ใช่แค่การควบคุม แต่เป็นการสร้างระบบนิเวศที่ทุกฝ่ายสามารถเติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน”