เนื้อหาในหมวด การเงิน

กรุงไทย คาด ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-อาเซียน เสี่ยงสูง

กรุงไทย คาด ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ-อาเซียน เสี่ยงสูง

ธนาคารกรุงไทย ประเมินผลกระทบจากภาษีตอบโตของสหรัฐฯ ต่ออาเซียนท่ามกลางความไม่แน่นอนสูงขึ้น คาดไทยรับผลกระทบหนักสุด

ธนาคารกรุงไทย รายงานว่า ปัจจุบัน เศรษฐกิจและการค้าโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากสงครามการค้ารอบใหม่ ภายใต้การนำของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น หลังมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่อ้างอิงกับกฎหมายว่าด้วยอำนาจเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ (IEEPA) ซึ่งรวมถึงมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์

แต่ขณะนี้ สหรัฐฯ ยังสามารถจัดเก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานในอัตรา 10% และภาษีตอบโต้รายประเทศต่อไปได้ในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ ซึ่งการพิจารณาของศาลอุทธรณ์อาจใช้เวลาหลายเดือน และยังมีความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายอื่นในการผลักดันมาตรการภาษี ทำให้ความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูง และพึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐฯ เป็นหลักอย่างอาเซียน

โดยธนาคารกรุงไทยวิเคราะห์ผลกระทบของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่ออาเซียนว่าประเทศใดมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน และประเมินช่องทางผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนแนะนำแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย เพื่อลดผลกระทบของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

อาเซียนจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้มากแค่ไหน?

pic1_0

ประเทศต่างๆ ยกเว้นจีน เม็กซิโก และแคนาดาถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าพื้นฐานที่ 10% และจะเก็บภาษีตอบโต้เพิ่มเติมกับประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูง ในวันที่ 9 ก.ค. 2568 หลังครบกำหนดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน

อาเซียนจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้เฉลี่ยสูงถึง 33% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกที่ 17% เนื่องจากในปี 2567 อาเซียนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงถึง 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากอัตราภาษีตอบโต้ที่สูง โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV จะถูกเก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 44%-49% ขณะที่ไทยจะถูกเก็บภาษีตอบโต้ 36% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียน

ส่วนมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ กับจีนจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 ส.ค. 2568 หลังสหรัฐฯ ลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 145% เหลือ 30% ขณะที่จีนลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ จาก 125% เหลือ 10% ชั่วคราวเป็นเวลา 90 วัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออาเซียนที่มีความเชื่อมโยงกับสหรัฐฯ และจีนสูง

แม้ว่ายังมีความไม่แน่นอนของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ แต่หลายประเทศในอาเซียนยังเดินหน้าเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ โดยอินโดนีเซีย เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และกัมพูชาเริ่มเจรจากับสหรัฐฯ แล้ว ส่วนใหญ่เสนอเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร และพลังงาน

ไทยยื่น 5 ข้อเสนอ หวังลดเป้าเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ 50% ใน 5 ปี

ขณะที่ไทยได้ยื่น 5 ข้อเสนอในการเจรจากับสหรัฐฯ ซึ่งมีเป้าหมายลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ให้ได้ 50% ภายใน 5 ปี และส่งเสริมความร่วมมือเป็นพันธมิตรระดับยุทธศาสตร์มากขึ้นในอนาคต ได้แก่

  • เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีดิจิทัล
  • เพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าพลังงาน สินค้าเกษตร เครื่องบิน และอุปกรณ์ต่างๆ
  • เปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และผลไม้ เป็นต้น
  • บังคับใช้กฎหมายป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์
  • ส่งเสริมการลงทุนของไทยในสหรัฐฯ มากขึ้น อย่างไรก็ดี ไทยยังไม่มีกรอบเวลาในการเจรจากับสหรัฐฯ ที่ชัดเจน ซึ่งยังต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป
  • ประเทศใดในอาเซียนที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ มากที่สุด

    Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากสหรัฐฯ จัดเก็บภาษีตอบโต้ตามอัตราที่ประกาศไว้1 จะทำให้เวียดนาม กัมพูชา และไทยเป็นประเทศในอาเซียนที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ มากที่สุด

    เนื่องจากเป็นประเทศที่จะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้สูงถึง 46%, 49% และ 36% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 33% อีกทั้งยังมีการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่สูง สะท้อนจากสัดส่วนการส่งออกสินค้าของเวียดนาม กัมพูชา และไทยไปสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงถึง 22%, 21% และ 10% ต่อ GDP ตามลำดับ

    ดังนั้น หากการเจรจาระหว่างประเทศในอาเซียนและสหรัฐฯ ไม่บรรลุผล อาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ จากเวียดนาม กัมพูชา และไทยมีแนวโน้มลดลงจากต้นทุนภาษีนำเข้าสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

    pic3_0

    สอดคล้องกับรายงาน World Economic Outlook ฉบับเดือน เม.ย. 2568 ของ IMF ที่ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจกัมพูชา ไทย และเวียดนามมากที่สุดในอาเซียน จากผลกระทบของมาตรการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ

    โดย IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 3.3% เหลือ 2.8% และโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวต่ำกว่า 2% ในปี 2568 มีถึงเกือบ 30% ซึ่งสูงกว่าการประเมินครั้งก่อน โดยปัจจัยกดดันมาจากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อจีนและประเทศต่างๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการค้าโลก

    นอกจากนี้ IMF ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจกัมพูชา ไทย และเวียดนามมากที่สุดในอาเซียนที่ 1.8%, 1.1% และ 0.9% ตามลำดับ โดย IMF คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะขยายตัวเพียง 1.8% สะท้อนถึงความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยต่อมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่อาจฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า

    pic4_0

    3 ช่องทางผลกระทบของมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ต่ออาเซียน

    pic5_0

    Krungthai COMPASS มองว่า แม้ปัจจุบันมาตรการภาษีของสหรัฐฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ แต่เนื่องจากกระบวนการพิจารณามีแนวโน้มยืดเยื้อ และยังมีความเสี่ยงที่รัฐบาลสหรัฐฯ อาจหันไปใช้กฎหมายอื่นในการผลักดันมาตรการภาษี จึงคาดว่าอย่างน้อยในปี 2568 สหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาตรการภาษีตอบโต้ต่อไป ซึ่งจะส่งผลกระทบต่ออาเซียนผ่าน 3 ช่องทางหลัก

    1. การส่งออกสินค้า

    1.1.ผลกระทบทางตรง

    การส่งออกสินค้าของอาเซียนอาจได้รับผลกระทบทางตรงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง โดยเฉพาะประเทศในอาเซียนที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ สูงอย่างกัมพูชา เวียดนาม และไทย ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ในปี 2567 สูงถึง 37%, 27% และ 18% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมด ตามลำดับ อีกทั้งยังเป็นประเทศที่จะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ในอัตราที่สูง ซึ่งอาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง รวมทั้งอาจทำให้สหรัฐฯ หันไปนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่ถูกเก็บภาษีตอบโต้ที่ต่ำกว่า

    โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า สินค้าส่งออกของอาเซียนที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบทางตรงในการส่งออกไปสหรัฐฯ มากที่สุด คือ กลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และกลุ่มสิ่งทอและรองเท้า เนื่องจากในปี 2567 อาเซียนส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปสหรัฐฯ เฉลี่ยสูงถึง 34% และ 19% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดไปสหรัฐฯ ตามลำดับ รวมทั้งยังเป็นกลุ่มสินค้าที่สหรัฐฯ สามารถนำเข้าจากตลาดอื่นทดแทนได้ง่าย อย่างไรก็ดี อาเซียนอาจได้รับอานิสงส์ในการส่งออกสินค้าบางกลุ่มไปยังสหรัฐฯ เพื่อทดแทนสินค้าจากจีนที่จะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าที่สูง โดยเฉพาะสินค้าที่อาเซียนมีศักยภาพในการผลิตและมีกำลังการผลิตส่วนเกิน เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ซึ่งอาจลดทอนผลกระทบต่อผู้ประกอบการได้บ้าง

    1.2. ผลกระทบทางอ้อม

    pic6_0

    การส่งออกสินค้าของอาเซียนอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าสูง2 ซึ่งอาจทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าของจีนมีแนวโน้มลดลง

    โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า สินค้าส่งออกของอาเซียนที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบทางอ้อมในการส่งออกไปจีนมากที่สุด คือ กลุ่มเครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร รวมถึงสินค้าขั้นต้นและขั้นกลางที่เป็นห่วงโซ่การผลิตของจีนอย่างกลุ่มพลาสติกและยางพารา เนื่องจากในปี 2567 อาเซียนส่งออกสินค้าเหล่านี้ไปจีนเฉลี่ยสูงถึง 25%, 15% และ 6% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าทั้งหมดไปจีน ตามลำดับ อีกทั้งการส่งออกสินค้าของอาเซียนยังเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน (Oversupply) ในจีนในหลายกลุ่มสินค้า และมีแนวโน้มเกิดปัญหาต่อเนื่องในช่วงปี 2568-2573 เช่น รองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ เคมีภัณฑ์และพลาสติก รถยนต์ แบตเตอรี่ลิเทียม และเหล็ก เป็นต้น ซึ่งอาจซ้ำเติมต่อการส่งออกสินค้าของอาเซียนไปจีน

    2. การผลิต

    สงครามการค้ารอบใหม่คาดจะทำให้ปัญหาสินค้าจีนทะลักมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจะกดดันต่อการผลิตและการจ้างงานในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญของอาเซียน เนื่องจากความต้องการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงจากต้นทุนการนำเข้าที่สูงขึ้น ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน (Overcapacity) ในจีนที่ยังไม่ดีขึ้น จะทำให้ผู้ผลิตจีนมีแนวโน้มระบายสินค้าเข้าสู่ตลาดอื่นมากขึ้น โดยเฉพาะอาเซียน

    ธุรกิจที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบสูงจากปัญหาสินค้าจีนทะลักเข้ามาในตลาดอาเซียน เช่น รถยนต์ เคมีภัณฑ์ เหล็กและอะลูมิเนียม เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่อาเซียนนำเข้าจากจีนในช่วงปี 2560-2567 เพิ่มขึ้นสูงถึงราว 3%-14% ต่อปี ซึ่งอาจทำให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของผู้ประกอบการในอาเซียนมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะ SMEs จากความเสียเปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าจีน และจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตของอาเซียนที่จะได้รับผลกระทบจากการส่งออกที่มีแนวโน้มลดลง

    3. การลงทุน

    สงครามการค้าระยะแรกในช่วงปี 2561-2562 ทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังอาเซียนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 2566 มูลค่าการลงทุนโดยตรงจากจีนในอาเซียนอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2560

    อย่างไรก็ดี มาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปี 2568 อาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่เคยได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตของจีนอย่างเวียดนามและไทย เนื่องจากจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีตอบโต้ที่สูงถึง 46% และ 36% ตามลำดับ ซึ่งอาจส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของสินค้าจากประเทศเหล่านี้ในตลาดสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลง และอาจทำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอความชัดเจน หรืออาจมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่จะถูกเก็บภาษีตอบโต้ในอัตราภาษีที่ต่ำกว่า เช่น ฟิลิปปินส์ (17%) และสิงคโปร์ (10%) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ เช่น เครื่องจักร อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงสิ่งทอและรองเท้า เป็นต้น

    นอกจากนี้ บริษัทสัญชาติสหรัฐฯ ที่ลงทุนในอาเซียนอาจย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ (Reshoring) เพื่อหลีกเลี่ยงต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น สะท้อนจากผลสำรวจของ Kearney (2025) ชี้ว่า ผู้บริหารระดับสูงที่วางแผนจะย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ ภายใน 3 ปีข้างหน้ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน และราว 50% ของผู้บริหารระดับสูงระบุว่าความตึงเครียดทางการค้าจะเป็นแรงผลักดันที่สำคัญในการย้ายฐานการผลิตกลับไปยังสหรัฐฯ3 ซึ่งอาจทำให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศที่จะเข้ามาอาเซียนในอนาคตมีแนวโน้มลดลง

    อย่างไรก็ดี การตัดสินใจย้ายฐานการผลิตออกจากอาเซียนจำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการ ทั้งในด้านต้นทุนแรงงาน ความพร้อมของระบบโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกฎระเบียบและสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุน อีกทั้งยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของการเจรจาระหว่างอาเซียนกับสหรัฐฯ ที่อาจนำไปสู่อัตราภาษีตอบโต้ที่ลดลง ซึ่งอาจทำให้อาเซียนยังคงได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต

    แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการท่ามกลางความไม่แน่นอนที่สูงขึ้น

    Krungthai COMPASS แนะนำผู้ประกอบการไทย ควรติดตามคำตัดสินเกี่ยวกับมาตรการภาษีของศาลอุทธรณ์สหรัฐฯ และติดตามความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินแนวโน้มและผลกระทบต่อการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เป็นหลัก รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการปรับตัว เช่น การจัดหาวัตถุดิบจากหลายแหล่ง การวางแผนการผลิต รวมถึงการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง เป็นต้น

    นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยควรลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ และจีน และหันมาให้ความสำคัญกับการกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตลาดอาเซียน โดยใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) ภายในภูมิภาค เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากสงครามการค้า และเพิ่มโอกาสด้านการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น

    โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า เวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียเป็นประเทศในอาเซียนที่มีศักยภาพในการส่งออกของผู้ประกอบการไทย เพื่อลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยพิจารณาจากตัวชี้วัดใน 3 มิติ ดังนี้

  • ความต้องการนำเข้าสินค้ามีแนวโน้มเติบโต สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการนำเข้าสินค้าในปี 2562-2567 ของเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียสูงถึง 5%, 7.9% และ 6.4% ต่อปี
  • ส่วนแบ่งการตลาดของสินค้านำเข้าของไทยยังน้อย สะท้อนถึงโอกาสของผู้ประกอบการไทยในการเข้าไปชิงส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น โดยสินค้าไทยมีส่วนแบ่งการตลาดในเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซียอยู่ที่ราว 4%-5% เท่านั้น
  • มูลค่าการนำเข้าสินค้าในปี 2567 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอาเซียนที่ 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างรายได้ส่งออกที่สูง
  • สินค้าใดของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกไปเวียดนาม

    Krungthai COMPASS ประเมินว่า ลวดทองแดง น้ำตาล รวมถึงน้ำมันปิโตรเลียม แผงควบคุม ยางพารา และแผ่นอะลูมิเนียมเป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพของไทยในการขยายการส่งออกไปเวียดนามมากขึ้น ดังนี้

  • สินค้าดาวเด่น ได้แก่ ลวดทองแดง และน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าไทยที่มีความต้องการนำเข้าในเวียดนามเพิ่มขึ้น สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปเวียดนามในปี 2562-2567 สูงถึง 13% และ 8% ต่อปี ตามลำดับ อีกทั้งไทยมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยในเวียดนามในปี 2562-2566 สูงถึง 43% และ 45% ตามลำดับ
  • สินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม แผงควบคุม ยางพารา และแผ่นอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปเวียดนามในปี 2562-2567 สูงถึง 10%, 17%, 24% และ 20% ต่อปี ตามลำดับ แต่ไทยยังมีส่วนแบ่งการตลาดในเวียดนามไม่มากนัก
  •  

    สินค้าใดของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกไปมาเลเซีย

    Krungthai COMPASS ประเมินว่า เนื้อสัตว์ รวมถึงเรือขุด เครื่องบิน แผงควบคุม และโทรศัพท์ เป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพของไทยในการขยายการส่งออกไปมาเลเซียมากขึ้น ดังนี้

  • สินค้าดาวเด่น ได้แก่ เนื้อสัตว์ ซึ่งเป็นสินค้าไทยที่มีความต้องการนำเข้าในมาเลเซียเพิ่มขึ้น สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปมาเลเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 20% ต่อปี อีกทั้งไทยมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยในมาเลเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 73%
  • สินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ เรือขุด เครื่องบิน แผงควบคุม และโทรศัพท์ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปมาเลเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 16%, 69%, 23% และ 38% ต่อปี ตามลำดับ แต่ไทยยังมีส่วนแบ่งการตลาดในมาเลเซียไม่มากนัก
  • สินค้าใดของไทยที่มีศักยภาพในการส่งออกไปอินโดนีเซีย

    Krungthai COMPASS ประเมินว่า ข้าว และน้ำมันปิโตรเลียม เป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพของไทย
    ในการขยายการส่งออกไปอินโดนีเซียมากขึ้น ดังนี้

  • สินค้าดาวเด่น ได้แก่ ข้าว ซึ่งเป็นสินค้าไทยที่มีความต้องการนำเข้าในอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น สะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปอินโดนีเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 82% ต่อปี อีกทั้งไทยมีส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยในอินโดนีเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 30%
  • สินค้าที่มีศักยภาพ ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยของการส่งออกไปอินโดนีเซียในปี 2562-2567 สูงถึง 39% ต่อปี แต่ไทยยังมีส่วนแบ่งการตลาดในอินโดนีเซียไม่มากนัก
  • กรุงไทย แจ้งปิดบริการ 14 สาขา ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว เริ่ม 24 ก.ค. 68 เป็นต้นไป

    กรุงไทย แจ้งปิดบริการ 14 สาขา ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว เริ่ม 24 ก.ค. 68 เป็นต้นไป

    ธนาคารกรุงไทย แจ้งปิดบริการ 14 สาขา ในพื้นที่เสี่ยงเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 68 เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบ บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

    กรุงไทย เตรียมขายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เริ่ม 30 ก.ค.-7 ส.ค. 68

    กรุงไทย เตรียมขายพันธบัตรออมทรัพย์ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เริ่ม 30 ก.ค.-7 ส.ค. 68

    กรุงไทย เตรียมขายพันธบัตรออมทรัพย์วอลลเลต สบม. ครั้งที่ 2 วงเงิน 5,000 ล้านบาท รุ่นอายุ 10 ปี ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.49% ต่อปี ผ่านแอปฯ เป๋าตัง เริ่ม 30 ก.ค.-7 ส.ค

    เปิดบริการใหม่ ทำใบขับขี่สากล บนแอปฯ เป๋าตัง ทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    เปิดบริการใหม่ ทำใบขับขี่สากล บนแอปฯ เป๋าตัง ทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง

    แอปฯ เป๋าตัง เพิ่มบริการใหม่ ทำใบขับขี่สากล ทำได้ตลอด 24 ชั่วโมง รอรับใบขับขี่สากลได้ที่บ้าน ผ่านไปรษณีย์